Pages

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 2011 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 2011 แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์, กันยายน 25, 2554

สรุป scope ที่สนใจใน Google DevFest 2011, Chiang Mai

ไม่มีปัญญาไปอันเนื่องมาจากไกลเกิน ... (เชียงใหม่)
และอีกทั้งยังต้องอ่านหนังสือสอบ ก็เลยนั่งฟังผ่าน UStream เอาครับ
ค่อนข้างต้องใช้สมาธิพอสมควรเพราะเสียงดังมาก ฟังไม่ถนัดซักเท่าไหร่
อีกทั้ง session ที่อยากดูไม่ได้อยู่บน stream ด้วย (ทางทีมงานบอกว่าจะมีรายการย้อนหลังให้)
เลยอ่าน Slide ไปแบบผ่านๆ ตาเอา ... มีอะไรบ้าง ... มาดูกัน ...

ปีนี้ยอมรับว่าไม่มีอะไรใหม่เยอะแยะเหมือนเมื่อปีก่อน อันเนื่องด้วย session ที่น้อยลง(เหรอเปล่า)
อีกทั้งเนื้อหาก็ไม่หลากหลายเมื่อเทียบกับครั้งที่่แล้ว .... มาดูดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง ...

รายชื่อ Session / รายละเอียดทั้งหมด ดูได้ที่ http://www.gtug.in.th/ ครับ
Blog ขอแปะเฉพาะความเห็นตัวเองล้วนๆ แล้วกัน ...

HTML5
ไม่มีอะไรใหม่ ... มาก ... แค่มา update เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น

Bleeding HTML5


 http://bleedinghtml5.appspot.com/

หรือ

HTML5 Offline
http://devfest-html5-offline.appspot.com/

ที่พยายามเอาลูกเล่นแยกย่อย ใน API ที่เคยประกาศไปแล้ว
มาลงรายละเอียดเพิ่มเติมในการ Implement ....

และสุดท้ายเกี่ยวกับ HTML5 คือ HTML5 Boilerplate
ที่เป็นเหมือน Template ในการเริ่มต้นกับ HTML5 ... http://html5boilerplate.com/


ข้อดีของ template ตัวนี้คือ มันจะ embed Chrome Frame มาให้เลย
เวลาคนที่เปิดหน้า page ใน IE รุ่นเก่าๆ .... ก็จะเป็น Chrome อยู่ข้างใน
ทำให้สามารถใช้ feature ของ HTML5 ได้ทันที .... สะดวกดี
สำหรับคนที่ต้องการ shortcut ในการใช้ HTML5

ส่วนอื่นๆ ... ก็มีเรื่อง

Google Analytic ...
ที่ใช้ในการวิเคราะห์ stat เวปต่างๆ ...
ซึ่งถ้าใครติดตาม Blog ของผลิตภัณฑ์นี้อยู่แล้ว
มันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือ hidden feature อะไร
แค่เอามาพูดซ้ำอีกที ...

Android ...
ก็มาขายของ HoneyComb ซึ่งไม่ได้กะจะใช้ Android Tablet อยู่แล้ว ก็ฟังผ่านๆ ไป ...

สรุป ...
กระแส HTML5 เริ่มแผ่ว ...  เพราะ Browser แต่ละเจ้าก็ยัง implement ไม่ครบ
Standard ก็ยังไม่ stable ซักเท่าไหร่ ( อย่างเช่น WebSocket ) มีแต่ฝั่ง Client Site
ที่ Browser แต่ละเจ้าพยายามนำเสนอ ว่าของตัวเองทำอะไรไปบ้างแล้ว ...
แต่เนื่องจากมีแต่ Chrome ทำได้ ... มันดูจะ Monopoly ไปนิดนึง ... ก็ต้องรอดูต่อไปครับ :)


วันอังคาร, กันยายน 20, 2554

รีวิว Grand Prix Story แบบ Geek Geek


เนื่องด้วยเป็นคนบ้านไกล ... การใช้เวลาระหว่างติดอยู่บนรถ(ที่ค่อนข้างจะมีมาก)
เลยพอมีเวลาเล่นบ้าง อีกทั้ง ตอนนี้ มีทั้ง iOS และ Android แล้ว
เลยคิดว่าน่าจะได้เวลาเขียนรีวิวคร่าวๆ สำหรับเกมส์นี้ซักที :)

ที่เรียกว่า รีวิว แบบ Geek Geek ... คงเป็นอะไรที่คนธรรมดาเค้าไม่เล่นกัน ...
นั่นคือ ... เล่นเพื่อเก็บ Hi-Score ดังที่จะอวดต่อไปนี้ครับ (เอิ๊กส์)



Concept หลักๆ ของเกมส์ คือเราเป็นเจ้าของอู่รถแข่ง
แล้ว จ้างนักแข่งกับช่าง เพื่อสร้างรถไปแข่งในลีค ต่างๆ โดยมี อะไหล่ ให้ยัดใส่ได้ ในเกมส์ ....
รายละเอียดเต็มๆ ดูได้จาก Game Review ทั่วไป (ซึ่งจะไม่เขียน ...  ฮา)
แต่ใน Blog นี้จะเน้นวิธีเก็บ Score ภายในเกมส์ครับ :)

จุดเริ่มต้นที่ดี ... สำหรับการเก็บ Score คงเป็นไปไม่ได้ สำหรับการเล่นรอบแรก ....
ในความหมายที่บอกก็คือ จะให้ได้ Score เยอะ ก็ควรจะเล่นหลายๆ รอบ (ว่างั้น)
โดยตัว Score จะอยู่ที่ 14 Seasons แรก ... หากเล่นเกินกว่านั้นก็จะไม่ถูกเก็บลง Score ....
สิ่งที่ Challenge จึงอยู่ที่ ทำยังไง ให้ เก็บแต้มได้เยอะที่สุดภายใน 14 Season  ....
เลยท้าทายไม่น้อย ....

เกมส์นี้ความสนุกไมไ่ด้อยู่แค่นั่งลุ้นว่ารถเราจะเข้าที่ 1 หรือเปล่า
แต่มันแฝงไปด้วย การวางแผน Timing ที่ดี  .... เพราะการที่จะให้ได้ score เยอะๆ
จะมีเงื่อนไขหลายอย่างเพื่อให้ได้ score ดังกล่าวมาในแต่ละด้าน ไม่ใช่แค่เพียงเพราะ
แข่งรถชนะเท่านั้น ....

Trick หรือ วิธี ที่จะทำให้ได้ score เยอะๆ จึงมีดังต่อไปนี้ครับ :)
  1. นักแข่งรถ ....  เริ่มต้น ควรเป็น Oil Olsen เพราะจะได้ Fund เพิ่มเดือนละ $40
    ทำให้มีตังจ่ายค่าช่าง และ ค่า Training ได้สบายๆ
  2. 30 First Research Point ... ยัดลงช่างให้หมด ไม่ว่าช่างเริ่มต้นจะกากส์ ซักเพียงใด ...
  3. รถแข่งแห่งชัยชนะ ....ตั้งแต่เล่นมา ... รถที่ทำให้ได้ score สูงสุด คือ รถคันต่อไปนี้ครับ



    ข้อดีของรถคันนี้คือ จะเพิ่ม Research Point ระหว่างที่ใช้ทำให้ เรามี RP เหลือเฟือ
    สำหรับ Research , Upgrade , และ Lv Up ช่างได้
  4. สายรถแข่ง ... เน้นไปทางสาย Buggy / Proto Car / Super Car
    เพราะนอกจากจะใช้ Point น้อยแล้ว .... Super Car ยังมี Slot ใส่ Partได้ถึง 4 ช่อง
    และ รถเป็นเพียงแค่ Rank A ทำให้ช่างไม่จำเป็นต้องมี Techs และ Analysis เยอะมาก
    เมื่อเทียบกับ Mach Car (รถในเรื่อง Speed Racer)
  5. Aura ของหายากใช้อย่างประหยัด .... การใช้ Aura ที่ดี ไม่ควรเสีย Aura ไปกับการแข่ง
    แต่ควรเอามาลงกับ Part และ Stat ของนักแข่ง จะดีกว่า ...
     สีของ Aura มีผลต่อ ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น ของนักแข่งและ Part
    โดยเรียงจากมากไปน้อยดังนี้ ....

    ทอง > เงิน > ม่วง > ฟ้า
       
  6. รถ / part ทางผ่าน up แค่พอผ่าน  .... โดยปกติ รถทุกคันจะมีรถใหม่เมื่อ Upgrade ไป 50%
    สำหรับ Part จะอยู่ที่ 80% - 100% ถ้าไม่จำเป็น ไม่แนะนำให้ up จนเกิน Limit ครับ :)
หมดแล้วสำหรับ Trick ที่ใช้ในการเล่น ...
ที่เหลือก็คือ ฝีมือในการบริหารอู่รถแข่งแล้วครับ .... :)


ตัวอย่าง Timeline ในการเล่น

  1.  ก่อน 1Y 7M (Check out Sponsor ครั้งแรก) ต้องชนะ Course แรกเรียบร้อยแล้ว
  2. จบ Grand Prix ทุก Course ภายใน 7Y ( อีก 7Y ไว้ Up ไก่กา)
  3. บริหาร Sponsor ยังไงให้ได้ SuperCharger มาเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้


โดยส่วนตัวเกมส์นี้ .... Recommended ครับ :)


รายละเอียดเกมส์ แบบละเอียด :http://www.giantbomb.com/grand-prix-story/61-35624/


วันจันทร์, กันยายน 12, 2554

เมื่อ Noob อยากเข้าใกล้ศาสดา #4 : My Feeling on OSX Lion ...



หลังจากได้น้อง Mini มา ก็เลยมีโอกาสได้ลองเล่น Lion อย่างเป็นทางการกับเค้าบ้างครับ ...
เพราะยังไม่อยากล้าง mbp ไปลง lion อันเนื่องมาจาก project ยังไม่เสร็จ
เกรงว่าจะต้องทำ VM Ware ใหม่ เลยยังไม่ทำอะไรกับมัน
จนกว่า project จะเสร็จเรียบร้อย ....
ส่วนตัวไม่ได้คิดว่าของ apple จะดีซักทุกอย่าง
และแน่นอน ... Lion แบบ Out of Box 
ก็ดูเหมือนจะไม่ตอบโจทย์ geek ๆ อย่างข้าพเจ้าเป็นแน่แท้ .....
ยังไง ? อย่างไร ? มาดูกัน ...


1. Mouse Scroll สลับด้่าน !! ... คิดว่าน่าจะจงใจ ... แต่ขอบอกกว่าการที่จะเลื่อน page ลงแล้วต้อง scroll ขึ้่น มันไม่เข้าท่าอย่างแรง .. คิดไปเองว่าพยายามจะทำให้เหมือนระบบเกียร์รถยนต์ (ที่ดึงถอยหลัง = เดินหน้า) แต่มันไม่ถนัดในตอนแรกจริงๆ ....

2.ไม่มี App Folder แล้ว .... ดูเหมือนจะดี ... แต่ Launchpad ก็ยังไม่สามารถสร้าง folder ได้ ... จะทำ group ของ app ก็ลำบากเอา  ก็ยัง งงๆ ทุกครั้งที่ต้องเปิด app  ที่ไม่ได้อยู่บน dock (มันไม่คุ้นตาเหมือน folder )

3. ไม่มี iDVD และ iWeb .... เข้าใจว่าจะเลิก Mobile Me ... แต่ก็ช่วยส่งมันมาด้วยได้ไหม วัยรุ่นจะทำ DVD แบบมี chapter มันลำบากกกกกก ( solution : หาแผ่น iLife มาลง มันจะกลับมา ... ที่สำคัญอย่าลืม software update )

4. NTFS-3G ใช้ไม่ได้บน lion ต้องใช้ตัว commercial ( Tuxera NTFS ) หรือไม่ก็ต้องหาของฟรีตัวอื่น

5. ข้อนี้สำคัญที่สุด ... และขาดไปไม่ได้ นั่นคือ ...

เล่น DotA ไม่ได้ !!

อันเนื่องมาจาก Art ตัวพ่อ อย่าง Blizzard จะไม่ทำ patch-updater ให้สำหรับ lion
นั่นคือ Warcraft III โดนปล่อยเกาะให้หยุดอยู่ที่ เสือหิมะ เท่านั้น ...

โดยรวมตอนนี้ Lion เหมือนภาคเปลี่ยนของ window จาก XP ( Leopard ) เป็น 7 ( Lion )
ซึ่ง feature ที่ใช้งานส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ ต้องการของใหม่ทั้งหมด ....
ดังนั้นก็อยู่ที่ว่าถ้าต้องการใช้ XCode version ใหม่ก็จำเป็นที่จะต้อง update ครับ :)

Update 1: แก้ไขส่วนที่เข้าใจผิดครับ :)

เมื่อ Noob อยากเข้าใกล้ศาสดา #3 : กำเนิดน้อง mini



ห่างหายจากการมาเขียน Blog ร่วมหลายเดือน
อันเนื่องด้วยทั้งงานราษฎร์ งานหลวง ยุ่งเหยิงมากมาย ..
วันนี้พอมีเวลา เลยมา update หน่อยครับ :P

ก็อย่างที่บอกไว้ตอนแรกว่าการงานรุมเร้า อันที่จริงอาจจะเพราะดินพอกหางหมูก็เป็นได้ ... 
แต่ในที่สุดก็สามารถเคลียร์ไปได้หลายอย่างแล้ว  .... อย่างนึงที่อยากเขียนลง Blog ไว้ก็คือ ...
ตอนนี้ได้ถอยน้อง Mac Mini มาเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ PC ของคุณแม่ ....
ด้วยความที่เป็น computer ของคุณแม่ที่ต้องใช้ในวันปกติ ... จึงไม่มีทางที่จะไปนั่ง support ได้ 
ทุกวันเป็นแน่แท้ ก็เลยตัดสินใจให้คุณแม่ถอยมาใช้ครับ แม้ว่าราคา PC จะอยู่ที่ 15 ~ 20k ก็ตาม ...

น้อง Mini ทั้ง set ประกอบไปด้วย ...

Unit : Mac Mini - ตัวล่างสุด
Display : LG IPS236V 
Keyboard + Mouse : Logitech with Unify Driver Unit ....

เบ็จเสร็จทั้ง set ตกอยู่ประมาณ 27k .....
เหตุผลหลักๆ ที่ตัดสินใจให้คุณแม่ใช้ mac เนื่องด้วย งานที่คุณแม่จะใช้นั้น
เป็นการใช้งานเกี่ยวกับรูปถ่ายทริปเที่ยวของคุณแม่ และ วิดีโอ ที่อัดมา ยัดใส่แผ่น DVD ...
ครั้นจะให้ใช้ premier หรือ อื่นๆ คงต้องเสียเวลาสอนเอาเรื่องอยู่ ... 
อีกทั้ง iMovie กับ iPhoto ...ก็มี feature ที่คุณแม่อยากได้ พร้อมอยู่แล้ว ... 
ก็เลยตามเลยครับ ... (แม้ว่า Window License จะมีเหลืออยู่ก็เถอะ) 

อีกอย่างคือได้ re-use Ram 4 GB ที่ได้จากน้อง mbp มาใส่ไว้ที่น้อง mini เป็นที่เรียบร้อย ...
ใช้งานเป็นอย่างไร ไว้คอยมาติิดตามกันครับ :)

ส่งท้ายก่อนจากกัน .... ช่วงหลังๆ พอ project เริ่ม delay เลยหาทาง entertain ตัวเองมากขึ้นหน่อย ...
วันนี้ขอเสนอ PlexApp ครับ ... โปรแกรม คล้ายๆ frontrow หรือ window media center ... 
แต่หรูหราไฮโซมาก  ... ใช้ได้เฉพาะ mac osx ใครใช้อยู่แนะนำให้ลองครับ :) ต่อออก TV แหล่มมากกกก

วันอังคาร, มิถุนายน 28, 2554

Native Swing ... อุดจุดบอด ให้ Java Desktop


พอดีไปรับอาสา Coaching ให้กับเด็ก interns ฝั่ง London ของที่ออฟฟิศ
เลยได้ของเล่นมาเล่นเยอะแยะมากมาย ... ไม่ว่าจะเป็น JavaFX หรือแม้แต่ SWT ...

สิ่งที่ได้เห็นคือ ความแตกต่างกันในเรื่องของ ความกระตือรือร้น
รวมไปถึง ความใฝ่รู้ในเรื่องที่ฝึกงาน ...
ระหว่างเด็กไทยกับเด็กฝรั่ง ในปีนี้ นั้นเห็นได้ชัดเจนมาก...
อาจจะเพราะทางฝั่งฝรั่ง assign งานให้โหดมาก
(แต่ได้ข่าวว่าฝั่งไทยก็โหดพอกัน)
และด้วยความที่เป็น Master Degree ก็เป็นได้ ...

ขอออกตัวแรงๆ ก่อนเลยว่า ส่วนตัวแล้ว ไม่ได้มองว่า Java เร็วส์ หรือ Java ค้างส์
แต่มองว่า Java คือ เครื่องมือทำมาหากิน ... ถึงแม้มันจะแย่ หรือ จะดียังไง
ทุกวันนี้ก็ยังต้องนั่งเขียนมัน ... นั่งแก้บั๊กมัน ... นั่งออกแบบมัน ...
และยังต้องนั่งปวดหัวกับมัน ดังนั้นจึงให้ความใส่ใจในการทำงานกับมัน ... 
ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความชอบส่วนตัว หรือ ความเป็น zealot กากๆ แต่อย่างใด ...

เข้าเรื่องเลยดีกว่า ...
ตั้งแต่ทำ java desktop มาจะเกือบ 3 ปีได้ ... ก็เจอจุด pain หลายๆ อย่าง ...
ไม่ว่าจะเป็น code เมพ ... design แหล่ม ... หรืออะไรก็แล้วแต่ ...
สิ่งที่เป็นจุดบอดสำคัญๆ ของ java desktop คือ ยังเป็น UI ยุคเก่า ....
ที่แม้ชาวบ้านจะทำ Graphic เป็นระดับ HD ไปแล้ว ... java ก็ยังวิ่งอยู่ระดับ pixel ต่อไป ...

แต่หลังจากได้ coaching เด็ก interns ก็พบว่ายังมีบาง Lib ที่ไม่เคยคิดจะเข้าไปยุ่งกับมัน ...
มีความสามารถพอที่จะช่วยให้ java คลานต่อไปได้อีกหน่อย นั่นคือ SWT ...


SWT คือ UI toolkit อีกชุดของ java ที่พัฒนาโดย .. IBM ...
หลักๆ ของ SWT ที่แตกต่างจาก AWT คือ SWT จะพยายามทำทุก component ของ Java
ให้เป็น Native Component ... โดยผ่าน JNI ... ข้อดีข้อเสียของมันเป็นดังเหมือนดาบสองคม
นั่นคือ .... ดีที่เร็วส์ ... แต่เสียที่ไม่ cross platform (หรือพูดง่ายๆว่าต้องมี for window , for linux )

จึงเป็น Lib ข้าวนอกนา ในสายตาของคนที่วิ่งอยู่บน Standard JDK มาก ....
ซึ่งการรัน SWT พร้อมกับ Swing นั้นค่อนข้างที่จะบาป ยิ่งกว่าการเขียน AWT ผสมกับ Swing ..
เพราะ Thread ที่ใช้ ในการ render component นั้น จะแยกกันทำงาน ทำให้ยากต่อการ debug มาก ...

แต่ทั้งหมดนั้น ... เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ....
ในวันนี้ มีคนหัวใส เขียน Bridge ระหว่าง SWT และ Swing ขึ้นมา ชื่อว่า Native Swing

คร่าวๆ เกี่ยวกับ Native Swing คือเป็น wrapper ที่ Bridge ระหว่าง Swing กับ SWT
และ SWT กับ Window Native โดยใช้ OLE Bridge อีกต่อนึง .... (เหมือนเขียน VB เรียก ActiveX)
ทำให้สามารถ integrate SWT Component ที่มีอยู่แล้ว ขึ้นมาใช้ได้ใน Swing App ปกติ ...
ที่น่าสนใจของ Library ตัวนี้ ก็คือ SWT Component อันได้แก่

JWebBrowser

ไว้สำหรับ embed Browser ลงใน Swing App ... ที่ครั้นจะรอ JavaFX ก็คงอีกนาน
(แม้ Beta version ออกมาก็ยังกาก เกินกว่าจะเทียบ native ได้ )
ข้อดีของ component ตัวนี้คือ เป็นการดึง Native Feature ของ IE มาใช้ ....
ดังนั้น หากเครื่องที่ลง IE9 ไว้จะพบกับความเร็วส์ ในการโหลด ตามประสิทธิภาพของ IE
พร้อมทั้งอาจจะเจอความห่วย ในรุ่นเก่าๆ ลงมาไปพร้อมกัน ..... ซึ่งหากไม่พอใจ
ก็สามารถใช้ XULRunner ของ Firefox มา embed แทนได้ ....
แต่ package application ก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้น ตามขนาดของจิ้งจอกไฟ ...

 

ตัวต่อมาคือ

JFlashPlayer 

เป็น component ที่ดึง Flash ActiveX มาใช้ได้อย่าง ... เนียนมาก ... เนียนจนขนาดที่
สามารถทำ bridge กลับระหว่าง Java กับ Flash ได้ .... ซึ่งหากใครที่มองว่า Java Desktop
เป็น UI ล้าสมัย ... ก็สามารถทำ Flash มาต่อกับ API ที่มีอยู่เดิมให้มีลูกเล่นเพิ่มเติมได้มากขึ้น
ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับ code ของ project นั้นๆ ว่ามีความ messy เพียงใด (ฮา)


มีหลาย component มากขี้เกียจรีวิวเยอะ เอาตัวสุดท้ายแล้วกัน ...

JMediaPlayer 

แทบน้ำตาไหลสำหรับ video player ที่สามารถเล่นบน java ได้ ...
ซึ่ง Lib นี้ก็มี bridge ให้ใช้กับ VLC ได้อีกเช่นกัน ...



สรุป
แม้ว่า SWT จะทำได้หลายอย่างโดยที่มี Native Swing เป็นตัวจัดการให้กับ Swing
แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า Feature ที่เป็น native นั้นๆ สามารถรองรับความต้องการของลูกค้า
รวมไปถึง time-to-market ได้ดีแค่ไหน .... และที่สำคัญคือ ...
License ในการ distribute เป็นอย่างไร ....
การทำ commercial app ที่มีลักษณะเป็น product ... ยากกว่าที่คุณคิดเยอะ ...

จด domain name 300 บาทได้อะไรจาก Google บ้าง ...

จริงๆ กะเขียน เปิดตัวเจ๋งๆ ... แต่นึกมุขไม่ออก
บวกกับงานที่ออฟฟิศ รุมเร้าจน Plan ที่วางไว้ทั้งหมด
เป็นอันต้องเลื่อนไปอีกเทอม ...

แต่ไม่เป็นไร ... ตอนนี้เอาเท่าที่ตัวเองคิดว่าทำไหวก่อนก็แล้วกัน ...
ไม่สามารถจริงๆ ...

เมื่อช่วงเดือนเกิด ที่ผ่านมาก็ได้จด Domain name "vavario.com" เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ...
ก็ใช้มาได้ซักพักนึงแล้ว ... แต่ยังไม่ได้แจ้งมิตรรักแฟนเพลงให้ทราบโดยทั่วหน้า ...
Comment เก่าๆ ที่ทำ link ไว้กับ Facebook ก็หายเกลี้ยงอันเนื่องมาจาก URL เปลี่ยน ...
ไม่สามารถ link กลับไปยัง Blogspot ได้อีก ... แต่ไม่เป็นไร เริ่มอะไรใหม่ๆ แทนแล้วกันเนอะ อิอิ

โดยส่วนตัวก็อยากทำ Blog ของตัวเองมานานแล้ว แต่ด้วยคำนวณงบหลายๆ อย่าง
อีกทั้งความขี้เกียจที่บางครั้ง หายไปเป็นเดือนๆ กว่าจะมา up blog ที ก็อาจจะทำให้เวปร้างได้ ...
จึงคิดไม่ตกกับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไปสำหรับค่าเช่า Hosting , ค่า Domain name ,
พื้นที่ที่มีจำนวนจำกัด และ Bandwidth ใน package ที่ Hosting
จัดให้ตามราคา ... ว่า เหมาะสมแล้วหรือยัง ....

แต่ด้วยจุดประสงค์การเขียน Blog ก็ไม่ได้หวังจะมี Profit อะไรมากมายอยู่แล้ว ....
แค่อยากมีพื้นที่ไว้บ่น .... ไว้ฮา ... นิดหน่อย ... :P

จึงได้เจริญรอยตาม @Khajochi ครับ โดยการเริ่มฝาก Blog ไว้กับ Blogspot
มาตั้งแต่แรกแล้ว (ฮา) :P :P

ข้อดีของการฝาก Blog ไว้กับ Blogspot ก็มีหลายอย่าง .... ขอไม่ลงลึกแล้วกัน ...
แต่การจด Domain name กับ Google ถ้าใช้ส่วนบุคคลที่ไม่ได้ต้องการ Security จ๋า
ก็ถือว่าเหลือเฟือมาก ...

Service ที่ได้ใช้ หลังจากจด Domain กับ อากู๋ มีดังต่อไปนี้ครับ

1. Gmail .... บน domain ของตัวเอง ... สะดวก + เป็นส่วนตัว
สำหรับ @ domainname ... ถ้าใช้ gmail อยู่แล้ว ก็เหมือนได้ พื้นที่เพิ่ม 10 Account ...

2. Google Site .... เอาไว้สำหรับทำเวป Site อื่นๆ ที่ไม่ใช่หน้าหลัก
(เพราะหน้าหลักผูกกับ Blogspot เรียบร้อยแล้ว) ดังตัวอย่าง .... http://portal.vavario.com :P

3. Google Doc ... เอาไว้เก็บเอกสาร .... ที่ต้องการ privacy ตังหาก นอกเหนือจาก doc ส่วนตัว ...

4. Domain Control Panel .... ไว้สำหรับคนที่ชอบเป็นปลาทอง ลืมนู่นลืมนี่
แม้แต่ Password เข้า Domain ... จากที่ทำไว้ คือ จด Domain กับ GoDaddy
แต่ Manage ผ่าน Google ยกเว้น Advance Setting จริงๆ ที่ต้อง redirect กลับไปยัง Godaddy เพื่อ config ....

5. App Engine .... ไว้สำหรับทำ App กากๆ ส่วนตัว :P ตอนนี้ยังไม่ได้ Plan ทำอะไรเยอะ ...
ไว้มี project จะนำเสนออีกทีครับ :)

เอาคร่าวๆ ทั้งหมด 5 ข้อ ก็ถือว่าคุ้มแล้วสำหรับแค่ค่าจด domain name 300 บาท ...
ซึ่งหากจะไปเช่า Hosting ก็ต้องเสียมากกว่านั้น แต่ด้วยตามจุดประสงค์ที่บอกตอนแรก ...
หากคิดจะทำ ธุรกิจ ... แนะนำให้เช่า Hosting หรือใช้บริการ App Engine จิงๆ จังๆ ไปเลย
เพราะคงดูไม่ได้ หากต้องการทำหน้าเวปหลักแล้ว
มีตรา Google หรือ ตรา Blogspot ขึ้นหราเป็นแน่แท้ :)

วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 09, 2554

รณรงค์ Vote No

ช่วงนี้กำลังฮิต ติดเทรนด์ .. ครับ .... เลยขอจัดบ้าง ...
รณรงค์ Vote No ครับ ... แต่ไม่เกี่ยวกับเลือกตั้ง (นะจ๊ะ)







ภาพเหล่านี้เป็นเพียงภาพที่แต่งขึ้นเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับ บุคคล สถานที่ หรือ สมาคม ใดๆที่มีอยู่จริง

ปล . หา font ใกล้เคียงไม่ได้ ... เอาแบบนี้แล้วกัน ...
มุขแป๊กไปบ้าง อย่าว่ากันนะครับ :P

วันเสาร์, พฤษภาคม 14, 2554

HTML5 : WebSocket - จุดจบของ Extension Bridge Socket ?


ต้องยอมรับว่าช่วงปีที่ผ่านมา
HTML5 เป็นข่าวที่ค่อนข้างดังเพราะไม่ว่าจะเป็นฝั่ง Google , Apple หรือแม้แต่ Microsoft
เองก็ออกมา ประกาศผลักดัน "Standard" ตัวนี้มากมาย ....

แต่ประเด็นที่สนใจสำหรับ HTML5 ในตอนนี้คือ WebSocket ครับ

ที่ผ่านๆ มา หลายๆ คนพยายามบอกว่า "Client-Server มันตายไปนานแล้ว"
ก็แอบงงๆ ว่า Web มันไม่ใช่ Client-Server ตรงไหน ? วิ่ง TCP/IP เหมือนกัน
เพียงแต่เป็น HTTP Protocol ที่ไม่ใช่ Raw Socket Data เท่านั้น ...
ซึ่งสำหรับในเมืองไทย ... คนที่ทำ Desktop App ส่วนใหญ่จะโดนดูถูกเหยียดหยาม
นิดนึงว่า "ล้าหลัง" บ้างไม่ก็ "เต่าล้านปี" บ้าง ...

แต่มาวันนี้ WebSocket ก็เป็นอีกทางเลือกนึงที่ทำให้ "ช่องว่าง" ระหว่าง Web Browser
และ Desktop App ลดลง ... เพราะสามารถเขียน API ของ protocol ที่มีอยู่
ให้สามารถ ส่งมายัง Browser ได้แล้ว ดังรุป ข้างล่าง ...


ข้อดีของการใช้ WebSocket ...
  • ไม่ต้องอาศัย comet ...
  • คาดว่าต่อไปทั้ง Flash / SilverLight / javaFX จะ support WebSocket
  • SmartPhone ที่มี UIWebView สามารถใช้งานได้อัตโนมัติ
    (ปรับ CSS ให้เป็น Mobile View แทน)
  • protocol reusable ... สำหรับ protocol ที่เป็น XML อยู่แล้วไม่จำเป็นที่จะต้องออกแบบใหม่
    สามารถให้ Adaptor แปลงเป็น JSON ได้เพื่อให้ง่ายต่อการ parsing บน Browser
  • เพิ่ม opportunity ให้กับ legacy system ... ให้รองรับ UI ประเภทใหม่ๆได้
ข้อเสีย ...
  • เขียนโค้ดเพิ่ม (ฮา)
  • Bottle neck ที่ Adaptor ถ้าทำ Session management ไม่ดี
  • Protocol เป็น Public เกินไป อาจจะไม่เหมาะสำหรับการ implement ที่มี Security สูงๆ
    แต่ Websocket ก็ support SSL Channel อยู่แล้ว

บรรยายสรรพคุณไปเยอะแล้ว ... คราวนี้กลับมาดู Browser บ้างว่าเจ้าไหน support บ้าง ...
เท่าที่หามาได้ .... ได้แก่ ...
  ข้อมูลจาก
  • http://en.wikipedia.org/wiki/Web_Sockets
  • http://stackoverflow.com/questions/1253683/websocket-for-html5

ถ้าติดตามข่าว IT จะเห็นว่า Technology มีมาใหม่แทบทุกปี
แต่สิ่งที่สำคัญในการทำ Software Development คือ Reliable + Time To Market.
ซึ่งถ้าหากวางแผนไม่ดี หรือเลือกใช้ Technology ที่ไม่เหมาะสมก็อาจจะทำให้ ดับอนาถได้ ...

ว่าแล้ว java จะ เร็วส์ ขึ้นไหม .... lol

วันจันทร์, พฤษภาคม 09, 2554

Evagelion 1.11 + 2.22 = เกรียนไม่ขับ ...


อากาศร้อนๆ เลยต้องหาพัดลมมาเป่า พร้อมกับหาการ์ตูนสนุกๆ มาดูครับ (เกี่ยวกันไหม) ....
Neo Genesis - Evagelion ... ชื่อนี้ไม่ต้องบอกสำหรับ คอการ์ตุน คงเคยเห็นผ่านตามาบ้างไม่มากก็น้อย
เพราะเป็นเรื่องที่ดูจาก Series หรือแม้แต่ OVA แล้วทำให้ งง เอามากๆ ....
จนต้องหา Manga มาดู ..  แม้มันจะไม่ตอบโจทย์ ที่เป็นปม อยู่ในเรื่องซักเท่าไหร่
แต่ก็ทำให้พอแก้ข้อสงสัยได้บ้าง ...

ใน Evagelion 1.11 และ 2.22 เป็นภาคที่ทำการ renew เนื้อเรื่อง
ของ Evagelion ใหม่ (เกือบ) ทั้งหมด ...plot เรื่อง หรือแม้แต่ หุ่น
ก็เปลี่ยนแปลงไปบ้าง เล็กน้อย (ถึงปานกลาง) ... บางจุดปรับ plot จนพอเข้าใจได้(บ้าง)
ทำให้่ไม่หงุดหงิด เวลาดูๆ ไปแล้วเกิด question mark มากมายเหมือนเดิม ...
fan service เยอะพอตัว ... บางฉากเล่นเอาฮาได้ดีเลยทีเดียว ....
อาจจะเพราะไม่อินกับ นิยาย/นิทาน เหล่าทวยเทพในศาสนาคริสต์ เท่าไหร่ ...
ศัพท์บางคำเลยดูแล้วงงๆ ว่า .... จะพูดไปทำไม ...

ไม่ขอพูดเนื้อเรื่องนะครับ เอาเฉพาะจุดที่เปลี่ยนแปลง รวมๆ ของภาค 1.11 และ 2.22 แล้วกัน ....

1. CG อลังการมาก .... รูปต่างๆ เคลื่อนไหวได้ smooth กว่าภาค series เยอะ ....


ปืนกลหมุนได้เนียนจริงๆ ...

2. ฉาก View ต่างๆ สวยจนอยากจะ capture มาเป็น wallpaper ...





3. เป็นการ์ตูนที่แสดงความเป็นชาตินิยมของ ญี่ปุ่นมาก ... ไม่แปลกเลยที่มันจะดัง ...

4. Eva 02 เปิดตัวได้เท่ห์มาก .... โดยเฉพาะ Eva 02 Kick ....

ถ้าเป็นริวเซย์ จะพูดว่า ... "เบรดโตะ .... คิกกกกกกกกกกก"

5. Eva 03 มีเหมือนเดิม แต่คนขับเปลี่ยนไป .....

6. ดัมมี่ปลั๊กโหดเหมือนเดิม ... แต่เพลง Background เป็นเสียง เมโลดี้ ... ให้ความรู้สึกหลอนไปอีกแบบ ...

7. คาดเดาว่า 3.33 = 1.11 + 2.22 .... ดังนั้น คงจบภายใน ภาค 3 .... ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะออกเมื่อไหร่ ...

8. มีสาวแว่น มาขโมย ซีน อาซึกะ ซะหมดเลย .... แปลกใจที่กรอบแว่นแบบนี้ไม่บูม
(หรือยังไม่บูมในไทยหว่า)
Live Action แหล่มจริงๆ ....

9. ชินจิ เกรียนทั้ง 2 ภาค ... คือ "ไม่อยากขับ eva" ...
10. เพิ่งรู้ว่ามี Eva 6 ตัว ... ( 00 - 05 )
11. เทวทูต อลังการกว่าภาค Series เยอะ .. ลูกเล่นท่าไม้ตาย มากมาย ....

สรุป ... ถ้าอยากดูแบบไม่ขัดใจ รอ 3.33 ครับ ... ส่วนถ้าดูเอามันส์ แนะนำให้หามาดูได้เลย ...
(เท่าที่จำได้ 3.0 ก็ยังไม่ออก แต่พี่แก มา remake 1.11 ใหม่ซะงั้น .... ) ...

วันศุกร์, พฤษภาคม 06, 2554

Master Project #2 : Microsoft BI Platform


หลังจาก เดินทางไกล ไกล กันไปหนึ่งรอบ เพื่อไปหาข้อมูลมาทำ Master Project ...
ทีนี้ก็ถึงคราาวที่จะต้องมาเลือก Tool ที่ใช้ในการทำบ้าง ...
ด้วย Choice ที่มีอยู่ ทั้งปรึกษารุ่นพี่ รวมไปถึงจากที่เคยได้ทำงาน Outsource มาจากที่ทำงานเก่า
ก็พอรู้อยู่บ้างว่า Tool ที่ใช้ทำมีกี่ตัว อันได้แก่ ...

  1. Cognos
  2. Business Object
  3. QlikView
ด้วยความที่ software เหล่านี้ราคาค่อนข้างแพง การจะหามาเล่นเพื่อทำ master project
ก็ค่อนข้างมีเงื่อนไขเยอะ .... อันเนื่องมาจากลิขสิทธิ์ของ software .... และด้วยความที่ plan
ไว้ว่าจะใช้ MBP ในการทำ master project ครั้นจะลง window ก็คงจะโดนทั้ง Anti และ สาวก
ประนามแน่ๆ (ฮา) ก็เลยต้องหาทางออกสำหรับ เคสนี้ครับ ...

โดย software ลิขสิทธิ์ เหล่านี้ เค้าก็อนุญาต ให้ ลงตัวลิขสิทธิ์ได้ โดยมีสัญญาเขียนเป็นลายลักษณ์
อักษร แต่ก็ยอมรับว่าเงื่อนไขนั้นโหดมาก ยกตัวอย่างเช่น มีอายุของ software ประมาณ 6 เดือน
สำหรับ evaluate ซึ่งก็สมเหตุสมผล ในการ "ใช้งานเพื่อการศึกษา" แต่เท่าที่ถามรุ่นพี่มา
ส่วนใหญ่เกินๆ 6 เดือนทั้งนั้น (ฮา) ก็เลยค่อนข้างช่างใจอยู่พอสมควร อีกทั้ง ยังไม่อนุญาต
ให้ลงบน virtual machine ได้ด้วย ... นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนักอก เหมือนกัน .....

จนอยู่มาวันนึง ระหว่างที่กำลังเล่นอยู่บนเวป microsoft อยู่ดีๆ ก็ได้เจอ Banner ...
"PowerPivot + Office 2010 + SQL Server 2008 = Microsoft BI"
ก็เลยกดตามเข้าไปดูครับ ... และพบว่า ... Microsoft เองก็มี BI Tool เหมือนกัน ดังแสดงดังรูปข้างล่าง ...


จาก Application Stack ข้างบน จะเห็นได้ว่า Microsoft 
พยามใช้จุดแข็งของตัวเอง (Microsoft Office) เป็น Tool ที่เข้ามาช่วยใน
การทำ Business Intelligence ผูกเข้ารวมกับ Application Stack ใหญ่ๆ อย่าง 
Sharepoint Server .... ซึ่งอันที่จริง การที่จะใช้ BI ของ ​Microsoft นั้น 
ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ Sharpoint Server ก็ได้ 
หากแต่เป็น Requirement ของ Master Project จากฝั่งมหาลัย 
ที่จะต้อง นำข้อมูลมาใช้ในการแชร์กันระหว่างผู้ใช้ระบบได้ .... 
งานเลยงอกให้ต้องทำ Sharepoint ต่อ 
(เพราะพวก cognos หรือแม้แต่ BO ก็มี WebServer ของตัวเองด้วยเหมือนกัน)

อันด้วยความ ซื้อ Mac แต่ดันมาพัฒนา App ของ Microsoft 
ก็เลยต้องทำ Virtual Machine (ซึ่งกะไว้อยู่แล้ว)
แต่ที่นอกเหนือความคาดหมายหลักๆ นั่นคือ .... ​
Sharepoint เป็น ​Server ที่กิน Memory มหาศาล 
ก็เลยต้องเพิ่ม RAM ให้น้องแมค วิ่งไปที่ 8GB ...
ถ้ากินจุกว่านี้คงรันไม่ไหวแล้วเหมือนกัน - -''

และด้วยความโชคดี ที่ทางมหาลัยมี Account Microsoft Academic Alliance Program 
ให้กับนิสิตทุกคนก็เลยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของ Microsoft ได้แทบทุกตัว 
ยกเว้น Microsof Office .... จึงเป็นดั่งสวรรค์ส่องทาง 
มาให้ใช้ของ Microsoft แล้วจริงๆ :)

สรุปคร่าวๆ สำหรับ Application Stack ที่มีของ Microsoft ครับ

1. SQL Server ---  เป็น Database พร้อม service ต่างๆ ที่ช่วยในการทำงานเกี่ยวกับ Database โดยมี 
  • Integration Service(SSIS) - ไว้สำหรับเชื่อมโยงข้อมูลจากทุก Datasource
    ไม่ว่าจะเป็น Oracle , DB2 หรือแม้้แต่ Flat File ...
  • Reporting Service(SSRS) - ไว้สำหรับออก report ต่างๆ
    มีทั้ง WebService และ WebServerService
  • PowerPivot for Sharepoint - ไว้ integrate PowerPivot
    (ใช้ในการ drilldown ข้อมูล) ให้กับ Sharepoint
  • Business Intelligence Studio - ไว้สำหรับออกแบบ DataFlow ของ SSIS
    และทำ report ของ SSRS 
2. Office 2010 + PowerPivot -- เป็น Tool ที่ใช้ในการทำ Excel ที่เก็บข้อมูลได้ในระดับ ล้าน records
ลงใน file พร้อมทั้งสามารถเรียก Refresh ข้อมูลได้ทุกเมื่อ
และยังสามารถนำไป Deploy บน Sharepoint เพื่อแสดงผลได้อีกด้วย (เมพมาก)
แต่ด้วยความโชคดีที่ได้ Home Use Program ของที่ออฟฟิศ มาให้ได้ใช้ทันพอดี :)

3. Sharepoint -- Server สารพัดประโยชน์ ที่รวมการทำงานระหว่าง Web Server
และ Application Server ไว้ด้วยกัน ซึ่งจริงๆแล้วพื้นฐานทั้งหมด มาจาก IIS
แต่หาก Sharepoint เปรียบเสมือน Framework ที่ on top อยู่บน IIS อีกที
จึงทำให้ Developer ไม่ต้องสนใจ Infrastructure มากนัก เน้นพัฒนา App เสร็จแล้ว
Deploy อย่างเดียว (Microsoft Azure's Concept ) ก็เลยทำให้เข้าใจว่า
ทำไมถึงกิน Memory มหาศาล แต่หลายๆ อย่างบน Sharepoint นั้นค่อนข้างพร้อม
สำหรับการทำ Webapp แบบ "Non-Coding" มากเลยทีเดียว ....
Service สำคัญๆ ใน Sharepoint ที่ต้องใช้ได้แก่ ...
  • PerformancePoint Service - ไว้จัดทำ Balance Scorecard และ Dashboard.
  • Visio Graphic Service - ไว้ทำ Graph ต่างๆ รวมไปถึง Overview Image  ที่ออกแบบโดย Visio
  • Powerpivot Service - เป็น Integrate service ไว้ Drill down ข้อมูลผ่านหน้าเวป
  • Reporting Service - เป็น Integrate service สำหรับ แสดง Report จาก SSRS
จะเห็นได้ว่า Microsoft เองก็มี Platform ที่ค่อนข้าง Strong ในเรื่องของการทำ BI เหมือนกัน
ตอนต่อไป จะมาดูกันครับว่าจะพัฒนาได้อย่างไรบ้าง :)

วันเสาร์, เมษายน 23, 2554

รีวิว : Source Code (2011) - เพราะอดีตยังมีบั๊ก


เปิดตั๋วเดี่ยว(เป็นประจำ) แบบ งงๆ ไปสำหรับ Source Code ครับ
ดู trailer ตอนแรกแล้วไม่คิดว่าจะสนุกเท่าไหร่
คิดว่าคงอารมณ์ เดจาวูหลายๆ รอบแน่ๆ .....
แต่เห็นใน rottentomatoes ให้แต้มซะเยอะ เลยจัดไปหน่อย
เค้าว่าเป็นแนวๆ inception ปกติก็ชอบอยู่แล้วก็เลยจัดไปครับ
พอได้ดูแล้วทำให้รู้ว่าเนื้อเรื่องชวนให้ติดตามเอามากๆ
เพราะไม่รู้ว่าตัวเอกจะหาทางออกได้ยังไง ....

สปอยล์ เลยดีกว่า ....
  • จาก trailer ทำให้เดาตอนจบไม่ออกว่าจะออกมารูปแบบไหน รู้แค่ว่า happy ending แน่ๆ
  • พระเอกน่าสงสารกว่า Inception เยอะมาก ....
  • Concept โลกคู่ขนาน ทำได้เจ๋งดี
  • วนฉากเดิมๆ หลายรอบไปหน่อย แต่ตัวหนังก็หาทางออกให้ดูได้ไม่เบื่อ
  • นางเอกยิ้มหวานมาก เห็นกี่ฉาก แทบจะละลาย ....


  • ทำให้มานั่งมึนต่อว่า หากตัวเองเหลือเวลาไม่ถึงนาที ... อยากทำอะไรมากที่สุด
  • Quote สั้นๆ ง่ายๆ โดนใจ ... "It's gonna be OK"

สรุป เพราะ อดีตยังมีบั๊ก เลยเป็นจุดขายของหนังเรื่องนี้ครับ :)
เป็นเรื่องที่แสดงบทบาทของ Tester โดยถ่องแท้ .... ๕๕๕

วันศุกร์, เมษายน 22, 2554

เมื่อ Noob อยากเข้าใกล้ศาสดา #2 - Survival Guide ...


ขอคั่นรายการด้วย Survival Guide ครับ ....

พอเริ่มใช้ Mac เต็มตัว ก็ต้องเริ่มหาโปรแกรมสามัญประจำบ้านมาลง
เพื่อให้ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ ...
ครั้นจะถาม อากู๋ ทุกอย่างก็ดูจะ Geek เกินไปนิดนึง ....
แต่ด้วยความช่วยเหลือจาก @khajochi  @chaichan และ @odacroniandevil

ทำให้ สามารถผ่านพ้นวิกฤติ มาได้ครับ ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้้ด้วยคร้าบ -/\-

เพื่อเป็นการกันลืม ... เลยจะ short note ย่อๆ
สำหรับโปรแกรม และ Tips ต่างๆ ที่จำเป็นๆ ก่อนละกัน
เผื่อจะมีใครถอย น้อง Mac ตามมาจะได้สามารถแก้ได้ครับ :)


#1: Web Browser ...
คงหนีไม่พ้น Chrome ครับ ... ยังไม่ได้ลอง FF4
อีกทั้ง PC ที่ออฟฟิศก็ใช้แต่ Chrome เลยใช้ให้เหมือนๆกัน :P
http://goo.gl/rtPcG


#2: แก้ username folder
http://www.iclarified.com/entry/index.php?enid=4598
ด้วยความ "มือใหม่" เลยจัดชื่อเต็มตอนใส่ข้อมูล user เลยเจอปัญหาชื่อ folder ยาวเป็น กิโล ...
เลยต้องหาทางเปลี่ยนให้มันสั้นลงครับ :)

#3: ดู Video บน Mac ?
Quicktime ก็แทบจะครอบจักรวาลอยู่แล้ว แต่ codec บางตัวก็ขาดๆ ไป
จะดู Video แบบ mkv หรือ flv ก็ดูจะลำบากไปนิด .... @Khajochi เลยจัดให้ครับคือ

http://perian.org/
ไว้สำหรับ support file ดังต่อไปนี้ครับ

  • File formats: AVI, DIVX, FLV, MKV, GVI, VP6, and VFW
  • Video types: MS-MPEG4 v1 & v2, DivX, 3ivx, H.264, Sorenson H.263, FLV/Sorenson Spark, FSV1, VP6, H263i, VP3, HuffYUV, FFVHuff, MPEG1 & MPEG2 Video, Fraps, Snow, NuppelVideo, Techsmith Screen Capture, DosBox Capture
  • Audio types: Windows Media Audio v1 & v2, Flash ADPCM, Xiph Vorbis (in Matroska), and MPEG Layer I & II Audio, True Audio, DTS Coherent Acoustics, Nellymoser ASAO
  • AVI support for AAC, AC3 Audio, H.264, MPEG4, VBR MP3 and more
  • Subtitle support for SSA/ASS, SRT, SAMI

แต่แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้น VLC ไว้เปิดไฟล์เหล่านี้ด้วย

http://www.videolan.org/vlc/


#4: Capture Screen
กด Print Screen แล้วหา โปรแกรม save ดูจะลำบากเกินไปสำหรับ Mac ...
โชคดี มี shortcut แบบง่ายสุดๆ มาให้ใช้แล้ว !!!

Command + Shift + 3 = Capture ทั้ง Screen
Command + Shift + 4 = Capture แบบ Region
Command + Shift + 4 + Space = Capture แบบ Window


#5: เปิด HDD + USB ที่มี file format เป็น NTFS
ตาม link ด้านล่างนี้ไปโดยพลันครับ  :)


http://www.khajochi.com/2010/06/read-write-ntfs-files-on-mac.html

หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า FAT32 file format จะไม่สามารถเก็บไฟล์ที่ใหญ่เกิน 4GB ได้
แต่ด้วยหลังๆ window เป็น OS ที่มีอยู่ 90%+ ในตลาด ดังนั้นผู้ผลิตเลยใจดี
จัดเป็น NTFS มาให้จากโรงงาน จึงทำให้เปิดบน Mac ไม่ได้ ....
ใช้วิธีตามข้างบน ก็จะใช้ได้ปกติครับ :)

#6: แตกไฟล์ .rar และ .7z
สามารถใช้ stuffit expander (Freeware) ในการ extract ได้ครับ ....
ส่วนตัวคิดว่าการ zip ก็เพียงพอในการบีบอัดไฟล์
จึงไม่ได้หาตัว create แบบพิศดาร มาใช้ครับ

ณ ตอนนี้ใช้อยู่ประมาณนี้ครับ
หรือ หากมี app ไหนน่าสนใจแนะนำกันมาได้ครับ :)

วันพุธ, เมษายน 20, 2554

รีวิว : เกาะล้าน ... Can't stop lovin' you


ภาพจากท่าเรือบาลีฮาย

ช่วงสงกรานต์ ที่ผ่านมาได้ไปจัดทริปสอนถ่ายรูปที่เกาะล้านครับ :)
เป็นครั้งแรกที่ได้เคยไปเกาะล้าน .... และเป็นอีกทริปที่ต้องเตรียมตัว
มากกว่า 1 เดือนสำหรับการจองบ้านพักที่จะไปในช่วงเทศกาล ....
ทว่าแค่ 1 เดือน(ช่วงต้นเดือนมีนา) ก็พบว่า
บ้านพักที่อยากจะไปนอนกลิ้งนั้น เต็มเอาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น

- บ้านฟ้าใส
- บ้านเฉลียงลม
- บ้านเรือนตะวัน
- สุนทรีโฮม
- ลมทะเล รีสอร์ท
- เกาะล้าน ริเวียร่า
- BarBerry
ฯลฯ

เล่นเอาถอดใจมาก ... ว่าจะหาที่พักได้ไหม ...

จุดมุ่งหมายของ Trip นี้ คืออยากไปนอนกลิ้งทะเล ...
กับไปเป็นคุณครูสอนถ่ายรูป ....
เลยไม่เน้นเล่นน้ำทะเลเท่าไหร่ .... ช่วงเวลาของ Trip นี้คือ 3 วัน 2 คืน
สุดท้ายเลยได้ที่ บ้านพักธนัชชา(ไม่ติดทะเล) กับ บ้านรินรักษ์ ครับ


การเดินทางเนื่องจากเน้นไป-กลับ สะดวก ไม่ต้องห่วงหน้า พะวงหลัง
บวกกับค่าน้ำมันที่แสนกระฉูด ณ ตอนนี้ ทางออกที่ดีที่สุดคือ
รถตู้ของ Pattaya Van ครับ สะดวกส่งถึงที่  ....

ออกเดินทางวันที่ 14 ช่วงเช้า ประมาณ 8 โมง
ไปทันขึ้นเรือรอบ 10 โมงพอดี หลับกันเต็มอิ่มบนรถตู้ ...

บาลีฮาย Light House ....

บนเรือสังเกตได้ว่า ฝรั่งเยอะพอสมควร ทั้งๆ ที่เป็นเรื่อไปที่ ท่าหน้าบ้าน ซึ่งไม่ได้ติดหาดอะไรเลย
แต่มาพบกับบางอ้อ ทีหลังว่า .... ฝรั่งที่ไปท่าหน้าบ้านส่วนใหญ่จะต่อสองแถว / มอไซค์รับจ้างไปที่
หาดแสม ซะส่วนใหญ่  .....

พอถึงท่าหน้าบ้านก็เกือบๆ เที่ยงพอดี เลยแวะหาที่หม่ำๆ แก้หิวชั่วคราว ...
ก่อนที่รถของ ธนัชชาจะมารับ ...ด้วยความหิวสั่งไม่ทันดู ...
เลยแอบเซ็งกับราคา มักกะโรนีไก่ เล็กน้อย ที่ราคาพุ่งไป ... 150 บาท
(มาม่าผัดขี้เมาทะเล ~ 70 ) เซ็งตรงที่เป็นแค่ ไก่ แต่ 150 เนี่ยแหละ - -''

หลังจากหม่ำๆเสร็จก็โทรเรียกรถของบ้านพัก มารับครับ ....



บ้านพักของธนัชชา เป็นบ้านพักที่ไม่ติดทะเล (ส่วนที่ติดทะเลแถวๆ ท่าหน้าบ้าน เต็มหมดแล้ว)
ระหว่างที่มาถึง คนที่พักอยู่ยังไม่ได้ check out ก็มีห้องให้นั่งรอก่อน ... เป็นที่พักอีกที่ที่บริการดีมากครับ
มี package ดำน้ำให้อยู่แล้วด้วย แต่ผิดจุดประสงค์ไปนิด พร้อมกับไม่มีคนแว๊น ....
ก็เลยให้เค้าไปส่งที่หาดตาแหวน แทน ....



ที่หาดตาแหวน ก็มีเตียงผ้าใบของธนัชชาเอง .... ไม่ต้องเสียค่าเตียงผ้าใบอีก (แหล่มไปเลย) แต่ช่วงที่ไป น้ำลงไปเยอะแล้ว เลยเจอแต่หาดทราย กับน้ำทะเลสุดลูกหูลูกตา ....


ขากลับก็มีรถสองแถวใจดีพากลับมาที่ท่าหน้าบ้าน ด้วยราคาแว๊น ซ้อนสอง ...
ต้องขอบคุณมากๆ เลยครับ :)


มื้อเย็นของวันแรก วางแผนกันว่าจะกินอะไรเบาๆ แล้วหาซื้อของปิ้งๆย่างๆ ไปกินที่บ้านพัก ...
เลยแวะร้านแนะนำจากเวปพันธ์ทิพย์ "เจ๊จุ๋ม" ต่อด้วย "เจ๊ตาล" อาหารทะเล สำหรับกุ้งย่าง และหมึกย่าง ...
ราคาอาหารที่ร้านเจ๊จุ๋มก็เหมือนๆ กับอาหารตามสั่งปกติทั่วไปครับ ...
สำหรับ กุ้งย่างไข่กุ้งมากมาย ตกกิโลละ 250 บาท สั่งมากิโลนิดๆ พร้อมกับปลาหมึกย่าง ...
อิ่มกันอ้วนเลย ... พร้อมกับนั่งชิวๆ ... เป็นคืนแรก ที่ชิวๆ บนบ้านพักไม่ติดทะเล ครับ :)

โดยรวมแล้วก็ถือว่าบริการดี สำหรับที่พักคืนแรก ... แต่ติดใจเรื่องจานกองโตเล็กน้อย
เพราะห้องข้างๆ เล่นทำอาหารเยอะแยะมากมาย ...

ในคืนที่สองเลยได้ไปพักที่บ้านรินรักษ์ครับ ...



สิ่งที่ประสบพบเจอระหว่างบ้านพักทั้ง 2 หลังคือ ...
แผนที่ไม่ค่อยจะตรงกันซักเท่าไหร่ ... คลาดเคลื่อนประมาณ 40% ได้ ...
อีกทั้งบน Google Map ก็ไม่ได้มีเส้นทางบนเกาะล้าน ทำให้ลำบากที่จะหาตำแหน่งอ้างอิง ...
แต่ที่พักทั้งสองที่ สามารถเดินเท้ามาถึงท่าหน้าบ้านได้สบายมากครับ

ที่บ้านรินรักษ์มี มี prop ให้สำหรับถ่ายรูปพอสมควร เล่นเอาคนไปด้วยยิ้มไม่หุบ ... :P


พอ Check-in พร้อมกับนั่งพักหลบแดด ก็ออกไปกินข้าวที่ "เกาะล้าน อาหารทะเล"
พร้อมกับไปจองโต๊ะที่ครัวพวงพยอม สำหรับมื้อเย็น (ในเวปพันธ์ทิพย์ บอกว่าให้ไปจอง แต่ก็เต็มจริงๆ)
จัดการมื้อเที่ยงเสร็จก็หาคนรับจ้างแว๊นไปที่ หาดแสม ครับ ...
ไม่กล้าไปหาดเทียน เพราะเค้าบอกทางมันไปลำบากแถมกลับลำบากอีกตังหาก  ....


ที่หาดแสม พบว่า ฝรั่งเยอะพอสมควร ไม่พลุกพล่านเท่าหาดตาแหวน แต่คลื่นแรง ลมแรง
เหมาะสำหรับเล่นน้ำเอามากๆ ... แต่เศษหิน เยอะไปหน่อย
หากต้องการจะเดินริมหาด ไม่แนะนำครับ ทรายไม่ละเอียดเหมือนหาดตาแหวน
กลับมาตอนเย็นกับร้านอาหาร "ครัวพวงพยอม" ตามคำล่ำลือของ เวป พันธ์ทิพย์ ....



บรรยากาศ สุดแสนโรแมนติค จริงๆ แต่เนื่องด้วย อ่าวที่ร้านตั้งอยู่เป็นอู่เก็บเรือ จึุงค่อนข้างเสียงดัง
เวลารถ Truck มาขน jet ski ขึ้นบนบก ... ถ้าจะไปแนะนำให้จองโต๊ะระหว่างเวลา ทุ่มนึง กำลังเหมาะครับ

อาหารยังมาไม่ครบ แต่บรรยากาศสุดๆ ...

สำหรับมื้อเย็นวันที่สอง ก็เทียบได้กับกินร้านอาหารทะเลดีๆ มื้อนึงครับ ราคาสมเหตุสมผล
กุ้งที่กินเมื่อคืนก่อน มาที่นี่ราคาจะ x2 แต่ได้ตัวใหญ่กว่ากันเยอะ ก็ถือว่าราคาปกติครับ ...
แต่แนะำนำว่าถ้าจะสั่งต้มยำ สำหรับร้านนี้ ให้บอกเค้าว่า "ไม่เปรี้ยวมาก"
เพราะอาจจะเจอ ต้มยำมะนาวหก ได้(เล่นเอาท้องเสียวันต่อมาเลย - -'')
แต่ปูหวาน .. และสดมากครับ :)

สรุปโดยรวม:

- เป็นอีกที่ที่น่ามาเที่ยวบ่อยๆ ครับ สำหรับเกาะ้ล้าน ...
- จำเป็นที่จะต้องขับมอเตอร์ไซค์ ให้เป็น ... ไม่งั้นจะใช้ชีวิตลำบากมาก ...
- ค่าเสียหาย ต่อคน สำหรับ 2 คนโดยเฉลี่ยสุทธิแล้ว ตกอยู่ที่ 3500 บาท ....
- อากาศร้อนถึงร้อนมาก ... ถ้ามาหน้าหนาว ไม่รู้ว่าจะอากาศดีไหม ....
- รถสองแถวหมด 6 โมงเย็น ...สำหรับหาดตาแหวน และ 5 โมงกว่าๆ สำหรับหาดแสม ....

แปะป้ายว่า Recommended ให้เที่ยวสำหรับเกาะล้านครับ :)
ของไม่ค่อยแพงเวอร์เหมือนเกาะเสม็ด แถมเป็นกันเองมากกว่ากันเยอะด้วย ...



วันจันทร์, เมษายน 18, 2554

เมื่อ Noob อยากเข้าใกล้ศาสดา #1 - The Beginning

หลังจากได้ฤกษ์ ถอย MBP มาได้พักใหญ่ๆ
ก็ได้เวลามานั่งเขียนความในใจเกี่ยวกับ Notebook ตัวนี้กันบ้างแล้ว ...


ในที่สุดตอนนี้ก็เลยได้ถอย MBP 13" 2011 มาสมใจกิเลสที่รอคอยมานานครับ ...
ด้วยความเห่อระดับเบอร์ห้า อยู่แล้ว .... วันแรกๆ ก็ไม่พ้นที่จะลองเล่นข้ามวันข้ามคืน
ไม่หลับไม่นอนกันเลยทีเดียว ...

เหตุผลหลักๆ ที่ตัดสินใจซื้อ Mac (ในตอนแรก) ก็คงหนีไม่พ้น

1. วัสดุที่ใช้ .....

เพราะตั้งแต่ใช้ BenQ S31-VW มาได้เกือบๆ 5 ปี ... พบว่า ... ถึง spec จะแรงเพียงใด ...
แต่ถ้า body ที่หุ้มมันไม่ Ok ...  ก็ทำให้มันเจ๊งได้ง่ายเหมือนกัน .... ในเมื่อจะซื้อ Notebook ตัวที่ 2
เลยขอคิดมากนิดนึง ซึ่งแน่นอนว่า MBP มี Body เป็น อัลลูมิเนียม ...
ก็น่าจะทนทานกว่า NoteBook ทั่วไปพอสมควร(มั้ง) ก็ไว้ต้องลองดูต่อไปครับ :P

2. OS .....

อยากลอง OS อื่นๆ ที่ไม่ใช่ Window ดูบ้าง ... ครั้นจะใช้ Ubuntu หรือ Linux ก็ดูจะ Geek เกินไป ....
เพราะคงไม่ว่างมานั่ง compile kernel แน่นอน ..... อยากเป็น User บ้าง อะไรบ้าง ....

3. Software  ....

ที่โดน @Khajochi ทำหน้าที่ Direct Sale มาจากองค์ศาสดา ...
คงจะหนีไม่พ้น iLife ที่เดิมโดยส่วนตัวก็ชอบที่จะถ่ายรูปอยู่แล้ว ...
ประกอบกับโปรแกรมพื้นฐานอย่าง Microsoft Office ก็ไม่ได้ขี้เหร่เกินไป ....
(ถึงจะตัดคำไม่ได้ดีเท่าบน Window ก็เถอะ)
พร้อมกับได้ Home Use Program ของที่ออฟฟิศ มาใช้ในงานนี้ สบายไปหลายต่อครับ :)


ของเค้าดีจิงนะตัวเธอว์ ...

4. Master Project

อย่างที่คิดไว้ตอนแรกว่า ต้องหา Notebook มาทำ Master Project ซักตัว ...
เพราะน้อง BenQ เครื่องเก่า คงจะไม่สามารถที่จะรันไหวได้ ... (Max RAM ได้แค่ 2GB)
ก็มีดูไว้หลาย spec ... หลายยี่ห้อ .... มาก ..แต่อย่างที่บอก ใน 3 ข้อข้างบน ....
ทำให้คู่แข่งยี่ห้ออื่น ตกไประนาว ....

แต่เมื่อมาลองใช้จริง ๆ แล้วก็พบว่ามีข้อดีข้อเสียแตกต่างจาก window พอสมควรครับ ....
อาจจะเป็นเพราะยังไม่ชินด้วยก็ได้ ....  ไว้จะมาบ่นให้ฟังเป็นระยะๆ ครับ :)

แต่ในวันแรกๆ ก็โดนค่า Accessory ของน้อง Mac นี้ไปหลายแล้วเหมือนกัน T^T
ค่าเสียหายหลายอย่างมาก ...ไม่ว่าจะเป็น ....

1. เพิ่ม RAM 4GB -> 8GB .....  (ได้ที่ ฟอร์จูน)

จัดเต็มมากๆ Samsung 4GB ..

เอาให้แรงสุดใจขาดดิ้น .... เพราะส่วนตัวแล้วไม่อยากลง Window บน Mac เลยทำเป็น VM แทน ...
เพราะด้วย Master Project ต้องการที่จะใช้ Sharepoint 2010 ที่ซด RAM มหาศาล
ครั้นจะรันบน RAM 4GB บ้านๆ ก็คงจะไม่ work เลยต้องจัดเต็มครับ
งานนี้ได้ร้านขาย RAM Online ชื่อดัง เป็นคนชำแหละน้อง MAC เปลี่ยนให้ครับ :)
และพบว่า ... RAM บน MBP คือ RAM ของ Samsung ... ดังนั้นไม่แปลกใจเลยที่ Feature หลายๆอย่าง
รวมไปถึง การ port Mac OSX มารันบน Notebook Samsung ค่อนข้างที่จะเนียนมาก .....
ถ้าไม่อยากซื้อ Mac แต่อยากจะใช้ Mac OSX แนะนำให้ถอย Notebook Samsung แทนครับ :)


2. Palmguard ..... กันรอยมือ ... (ได้ที่พันธ์ทิพย์)

3. Keyboard Guard ... กันฝุ่น(ออก)คีย์บอร์ด  (ได้ที่พันธ์ทิพย์)

4. Soft Case ... ของ Capdase ... (ได้ที่ ฟอร์จูน)

5. Anti-Glare Filter .... (ได้ที่ Siam Discovery )

.... ซึ่งของทั้ง 5 ชิ้นนั้น ... ด้วยพลังความเห่อ เลยจัดจบไปภายใน 1 วัน ...
เล่นเอาเดินกันขาลากเลยทีเดียว (เดินจาก สยาม -> CTW -> พันทิพย์ -> CTW -> สยาม )

และก็ได้่ชาบู ชาบู สมใจครับ ... :D


ตอนต่อไป (ชิไค ~ ) ... มาดูกันว่า ใช้ Mac ทำอะไรกับ Master Project บ้าง ....

วันจันทร์, เมษายน 11, 2554

Vavar ปะทะ Java Swing #5 : Component Painting

จาก ตอนที่ 4 ที่ได้พูดถึง EDT และ Swing MVC ไปแล้ว

ในตอนที่ 5 นี้เลยจะพูดถึง Painting ครับ

ประกาศ : บทความเหล่านี้เขียนด้วยความคิดเห็นของตัวเองล้วนๆ ... 
ผิดถูกยังไง สามารถเสนอแนะโดย post comment ด้านล่างได้ครับ :)




Swing Component หรือแม้แต่  AWT Component ใน Java นั้นสิ่งที่จำเป็นมากๆ
ในการออกแบบ UI ก็คือการทำ Custom Paint ที่ให้ LookAndFeel  ของตัว Component นั้น
เป็นอย่างที่เราได้ออกแบบไว้ ... โชคร้ายของ AWT Component ที่ ​Java ไม่ได้ออกแบบตรงจุดนี้มาให้
โดยให้เหตุผลว่า AWT เป็น Heavy Weight Class ที่ออกแบบมาให้เป็น Native Component ของ OS นั้นๆ
การจะปรับเปลี่ยน LookAndFeel สำหรับ AWT จึงไม่ใช่ทางออกนัก ....

แต่ก็เป็นโชคดีสำหรับ ​Swing Component ที่ Sun ทำ LookAndFeel Architecture มาให้ใช้
โดยตัว Swing เองอย่างที่เป็น Sequence Diagram ในตอนที่ 4 จะเห็นว่า
JComponent ทั้งหลายเปรียบเสมือน Controller เท่านั้น ส่วนที่เป็น View คือส่วนที่เป็น UI Class
ที่ฝังอยู่ใน LookAndFeel ....

ข้อดีของการแยก Class ดังกล่าวทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนหน้าตาของ UI
โดยไม่กระทบกับ Behavior ที่มีของ Component นั้นๆ ได้ ....
ยกตัวอย่างเช่น

ปุุ่ม .....
หน้าที่ของปุ่มคือรอรับ event การ click โดยจะ click ซ้าย หรือ ขวา ก็ขึ้นอยู่กับ
manage code ที่ทำการตอบรับ action นั้น

แน่นอนว่าหากการเปลี่ยน UI แล้วกระทบกับ Behavior ดังกล่าวดูจะแปลกๆ
ตั้งแต่ลักษณะการ Design ของ Behavior ก่อนหน้านี้แล้ว ....

การ Paint บน Swing Component จึงได้เปลี่ยนการทำงานใหม่ที่แตกต่างไปจาก AWT Component
ที่มีการเรียก paint() method แล้วทำการวาด Component ทั้งหมด

ใน Best Practice ของ Swing Component แนะนำว่าหากต้องการทำ Custom Paint ที่ไม่ขึ้นกับ
LookAndFeel ก็สามารถทำได้โดยการ override paintComponent() (ไม่มี s) method เพื่อให้สามารถ
แสดงผลได้อย่างที่เราต้องการ .....

สิ่งที่สำคัญสำหรับการ paint ใน Swing Component คงจะหนีไม่พ้น 3 สิ่งดังต่อไปนี้

1. Opaque - การแสดงผลแบบ Transparent Background.
2. Border - ขอบของ Component ที่ต้องการให้แสดงผล
3. Inset -  ขอบช่องว่างที่ต้องการให้แสดงผล มักจะถูก set จาก Border

ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการเขียน CSS ทั้งสามส่วนนี้คงหนีไม่พ้น คำสั่งดังต่อไปนี้

1. background:
2. border:
3. padding:

จะเห็นได้ว่าจริงๆ แล้ว Component ของ Swing นั้นก็ไม่ได้แตกต่างจาก
การเขียน HTML เท่าไหร่นัก เพียงแต่การใช้งานจะต้องมีการจัด layout
เพื่อให้ได้รูปแบบตามที่เราต้องการ ได้ยากกว่าเท่านั้นเอง ...
แต่โชคร้ายของ Swing Component ที่ Sun ออกแบบมาไม่ดีนัก
ที่ระบุให้ Border เป็น Component ที่ถูกวาดหลังสุด ทำให้การที่เราจะทำ
Component ที่มีขอบ ตามประเภท Border ที่เรา assign ให้กับ Component นั้น ยากมาก
ซึ่งจะต้องหาวิธีมาประยุกต์ใช้เพื่อทำงานในลักษณะดังกล่าว ...

ทำให้มี trick มากมายในการประยุกต์ใช้เพื่อให้ได้รูปแบบตามที่เราต้องการ ....

โดยส่วนตัวคิดว่าไม่ค่อยดีนักสำหรับ การ open ให้ implement เยอะขนาดนี้ เพราะหาก
Developer ไม่สนใจที่จะอ่าน Architect ของ Swing จะทำให้การ ​Manage sourcecode นั้นลำบากมาก
ด้วยอายุของ Swing Toolkit ก็ปาไปเกือบ 10 ปี แล้วจึงคิดว่า javaFX น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง
ในจุดนี้ไม่มาก ... ก็น้อย ....

แต่ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป  .... ไปเขียน silverlight ดีกว่า ๕๕๕

วันศุกร์, เมษายน 08, 2554

รีวิว : Star Driver - Kagayaki no Takuto (fall 2010)



จบไปอีก 1 Anime Series สำหรับการ์ตูนใน List ...

Star Driver ~ Kagayaki no Takuto ~ 

เป็นการ์ตูน mecha (หุ่นยนต์) อีกเรื่อง
ที่ตอนแรกไม่คิดว่าจะดูเนื่องมาจาก หุ่นในเรื่องมันผอมเพรียวเกินไป
เลยคาดว่าไม่น่าสนุกแน่ๆ ....

TauBurn - หุ่นของพระเอก ..
แต่ด้วยความที่ว่าไม่มี Anime จะดู ก็เลยต้องหามาดูเอาแก้ขัด ...
กลับพบว่าเนื้อเรื่องเจ๋งใช่ย่อย แม้ว่าจะได้เห็นกลิ่นอายของ Sailor Moon
ใน version เด็กผู้ชายพอสมควร .. ก็ตาม - -''

เนื้อเรื่องเป็นการผสมกันระหว่าง
ความเชื่อเรื่องเวทย์มนตร์ กับ เทคโนโลยี ที่ สมาพันธ์ดาวจรัส (ตาม sub ที่แปลมา)
ต้องการปลดปล่อย CyBody หรือ หุ่นยนต์ ที่อยู่ในโลกเวทย์มนตร์ ( Zero Time ) ออกมา
ในโลกปัจจุบันเพื่อครองโลก ... แต่การที่จะให้ CyBody ออกมาจาก Zero Time ได้นั้นจำเป็นที่
จะต้องทำลาย สัญลักษณ์ ของ "มิโกะ" ที่ความคุมแต่ละทิศ ของเกาะที่ปิดผนึกให้ได้ก่อน ....

ตัวเอกเองก็เป็นเด็ก "พ่อกรูอยู่ไหน" มาตามหาพ่อที่เกาะและเป็นตัวร้ายที่สุดในเรื่อง ....!!
โอ้วว เนื้อเรื่อง ดราม่า มากมาย ...

แต่ที่ดูแล้วโดนใจที่สุด คือเพลงประกอบในเรื่อง ... แจ่มแมวมาก ...

มิโกะทิศเหนือ กับเพลง Monochrome




มิโกะทิศตะวันตก กับเพลง Innocent Blue



เป็นอีกเรื่องที่แอบมี Fan Service เยอะเหมือนกัน ...

เอิ่ม ... การ์ตูน 18+ ป่าวค้าบ
ตัวละครในเรื่องไม่ค่อยหลุดจากโลกปัจจุบันเยอะ ...
มีหลายบุคลิก ... หลายอารมณ์ ... ไม่ Y มาก และไม่ K จนเกินไป ..
ทำให้ดูเพลินๆ ฮาบ้างอะไรบ้าง ไม่เครียดเกินไป ....



CG อลังการ ... ตาม Style Bornes ผสม Bandai

เหยดด เท่ห์โคตร ...

Sub Plot ของตัวละครแต่ละตัวในเรื่องก็เยอะเหมือนกัน ....
แต่ฮาสุดคงหนีไม่พ้น เวลาก่อนสู้ของพระเอก ที่เรียกว่า apprivoiser



ฝรั่งเรียก Galactic Pretty Boy .... (ไม่รู้ว่ามันแปลอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า)
แปลงร่างทีไร อดขำไม่ได้  ...

โดยรวมก็สนุกครับ :) ถ้าชอบการ์ตูนแนวหุ่นยนตร์ เป็นอีกเรื่องที่ห้ามพลาด ...

ว่าแต่ ...

จูบผ่านกระจกถือว่าเป็นการจูบ หรือเปล่านะ  ? แล้ว :P (ในเรื่องพยาม present มากกกก)

Tauburn ต้องแบบนี้สิ .....
ขอทำนายว่า ... Super Robot ภาคต่อๆไป อาจจะมีตัวละครจากเรื่องนี้ไปวิ่งเล่นด้วย ...

โมเดล ก็เท่ห์ใช้ได้ ...

วันพุธ, เมษายน 06, 2554

Master Project #1 : เดินทางไกล ไกล


เนื่องด้วยได้เวลาที่มีอยู่จำกัด
จึงต้องเริ่มอะไรๆ ให้เป็นชิ้นเป็นอันซักที ....

สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการเรียนปริญญาโท
ของหลักสูตร MIS จุฬาฯ คือ การทำ Master Project ... (แต่ถ้าทำ thesis ก็ไม่ต้องทำ)
โดยตัว Project แล้ว จะต้องอยู่ใน 3 scope ใหญ่ๆ นั่นคือ
  1. ระบบสารสนเทศ ( Information System )
  2. ระบบคลังข้อมูล ( Data Warehouse )
  3. ระบบ Implement SAP  
ซึ่งสำหรับข้อ สาม หากไม่ได้คลุกคลีอยู่ภายในผลิตภัณฑ์ตัวนี้ 
แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหา software มาลองใช้ + Learning Curve สูงลิ่ว

แต่ด้วยโครงสร้างของเงื่อนไขในการทำโปรเจคที่จะต้องอิงตาม ธุรกิจที่มีอยู่จริง
จึงหนีไม่พ้น การไปเก็บ Requirement  ...

คงสงสัยว่า แล้วเรา Fake ขึ้นมาไม่ได้เหรอ ??

จริงๆ ก็ Fake ขึ้นมาได้ แต่หากเราไม่ได้คิดถึงสภาพความเป็นจริง
ในการทำธุรกิจนั้นๆ เวลาสอบโปรเจค ก็อาจจะดับได้ .... 
ดังนั้นอิงตามธุรกิจที่มีอยู่จริง จะสบายใจสุด ....
หรือถ้ากรณีอยาก show power ก็คือต้องเขียน 
แผนธุรกิจ ( ที่เป็น ​​Master Project ของหลักสูตร MBA )
พร้อมกับทำระบบไปด้วย ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ..... ไม่ขยันขนาดนั้น

ด้วยความที่หลักสูตรเปิดมานานแสนนาน เกือบๆ 20 ปีแล้ว
การที่จะทำ ระบบสารสนเทศ ให้ match กับธุรกิจนั้น
ก็ดูเหมือนจะมีคนทำไปหมดแล้ว ( search หัวข้อแล้วซ้ำกระจาย )
อีกทั้งที่บ้านไม่ได้มี ธุรกิจส่วนตัว ที่จะพอไปต่อรองกับอาจารย์ได้ ....
เลยเหลือทางเลือกเดียวที่จะต้องทำคือ ทำระบบคลังข้อมูล ...
ซึ่งได้ความช่วยเหลือ จาก เพื่อนผึ้ง ที่ช่วยเป็น contact point ให้ 
(ต้องขอบคุณมากๆ มา ณ ที่นี้ด้วยคร้าบ)

สิ่งที่ท้าทายสำหรับการไปทำ Master Project มีด้วยกันหลายๆ อย่าง
แต่ที่ต้องบริหารให้ได้ คงหนีไม่พ้น เรื่องของ เวลา และ ระยะทาง ....

ด้วยความที่บ้านที่อาศัยอยู่นั้นค่อนข้างที่จะ ชนบท .... 
การเดินทางจากที่ออฟฟิศ เพื่อไปยัง ​​Site ที่ติดต่อ นั้น ไปได้ สะดวกมาก
แต่ด้วยการที่จะกลับบ้าน ที่อยู่ไกลถึง บางบัวทอง นั้น คงต้องคิดหนักพอสมควร
เนื่องด้วย ขับรถก็ยังขับไม่เป็น ..... ครั้นให้ขับได้ก็ใช่ว่าจะลดระยะทางได้ 
จึงต้องวางแผนในการกลับบ้านพอสมควร ....

แต่ด้วยเมื่อคืนโดน taxi พาไปวิ่งอ้อมจนเกือบถึง บางขุนเทียน ....
เล่นเอาอึ้งไปพักใหญ่ .... แต่สุดท้ายก็มาถึงบ้านจนได้ก็เลย 
คิดว่าคงต้องวางแผนให้ดีกว่านี้ ....


จาก แผนที่ คราวหน้าคงต้องบอก Taxi ให้ไปทางที่ Google Map แนะนำมั่งแล้ว ....
แล้วไว้ค่อยดูว่าค่าเสียหาย จะเป็นเท่าไหร่ +_+

วันศุกร์, เมษายน 01, 2554

[Blog] ในที่สุด ... ก็ได้ถอยมา ...



ช่วงนี้มีแต่ของ สนองกิเลส *-* หลังจากที่ได้เก็บกิเลสตัวเองมานานพอสมควร ...
แล้วสำหรับเรื่อง Model ที่ ล่าสุด @Hnan ชวนไปต่อ Model ที่ Brown Berry ซอยอารีย์ ...
จนในที่สุด ... ก็ถึงเวลาน้องโบออก พร้อมๆ กับ อยากให้รางวัลกับตัวเองบ้าง อะไรบ้าง ...
ที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำมาหลายเดือน ...เลยได้ถอยมาครับ ...


Soul of Chogokin : Daizengar & Aussenseiter


หากติดตาม Blog นี้มาได้ซักพักจะรู้ว่า .. เจ้าของ Blog ค่อนข้างจะ Otaku มาก .... 
และสำหรับ Model คู่นี้ เป็นหุ่นที่ชื่นชอบอยู่แล้วด้วยความที่ ...
เล่นเกมส์พวก Super Robot มานาน ...และติดใจหุ่นคู่นี้มาจากในเกมส์
ถึงแม้จะดูในการ์ตูนแล้วไม่ค่อยเท่ห์ก็เถอะ .... แต่ในเกมส์ .... เห็นได้ดังนี้ ...



เท่ห์ป่ะล่า .... ถึงแม้มันจะแอบเกย์ (Real Men Ride Each Other) ไปหน่อยเหอะ -__-'' lol
เนื่องจากยังไม่ได้ต่อ (ดองไว้ในกล่อง ... ) เลยขอเอารูปของชาวบ้านมาแปะไว้ก่อนละกัน ...


แค่ยืนเก๊กก็หล่อแว้ว :D :D


ดาบ Zankantou ... เท่มวากกกกกก



Highlight ของ Model ชุดนี้คือ หุ่นอีกตัวสามารถแปลงร่างเป็นม้าได้ครับ .... 
ไว้ต้องลองดูว่า ประกอบออกมาแล้วจะเป็นเช่นไร ....

สำหรับของเล่นชุดนี้ เล่นหมดไปเกือบหมื่น .... (เพราะเป็น Limited Edition)
ต้องขอบคุณ อากู๋ ที่ช่วยหิ้วมาจากญี่ปุ่น ก่อนโดนแผ่นดินไหวอย่างฉิวเฉียด ....
ต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยคร้าบ :D :D

Happy April Fools' Day :P :P :P