Pages

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 2012 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 2012 แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธ, ธันวาคม 26, 2555

[Blog] 2013 : 10 ข้อที่ต้องทำ


จะขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่เริ่มทำงานมา ยังไม่เคยกำหนด objective จริงๆ จังๆ ให้ตัวเองเลยซักครั้ง
พอไปดูหนังเรื่อง ยอดมนุษย์เงินเดือน ก็เลยกลับมาคิดว่า ...
เราก็ควรจะทำ 10 ข้อที่ต้องทำ สำหรับปี 2013 บ้างเสียเลยดีกว่า ...
เพราะยังไงก็เป็นสิ่งที่คิดจะทำอยู่แล้ว แต่จดไว้เผื่อลืมน่าจะดีกว่า
จำเอาไว้ในหัว ...


1. ออกจากบ้านให้เช้าขึ้น ... 

ด้วยความตัวขี้เกียจเกาะมานาน ตั้งแต่หลังจากทำโปรเจคเสร็จ รู้สึกตัวเองเฉื่อยพอสมควร ...
เลยตั้งใจว่าปีหน้าจะเอาจริงกับเรื่องเวลานอน รวบไปถึงเวลาที่ใช้ในแต่ละวันให้รัดกุมมากขึ้น ...
แม้จะต้องมานอนต่อในรถตู้ก็ตาม Z z Z z Z z ..

2. หัดออมเงินให้เป็นรูปเป็นร่าง

เห็นคนอื่นมีเงินเก็บแล้ว หันมาดูตัวเองเลยอยากจะหัดเก็บเงินบ้าง ...
แม้ได้ไม่เยอะไม่น้อย อย่างน้อยก็ขอเก็บ 20% ของเงินเดือนแล้วกัน !!! #กรอบแน่ๆ

3. Work Hard & Be Nicer

ไม่ได้หมายความว่าบ้างาน หรือทำงานหนักอะไร ...
แค่อยากจริงจังกับงานให้มากขึ้น ... หมดข้อแก้ตัวเรื่องเรียนโท
จะพยามสร้าง Motivate กับตัวเองด้วยการ ทำงานด้วยใจ แนวๆ I love My Job ดูบ้าง

4. ลดน้ำหนักให้จริงจังกว่านี้

แม้ว่าหมอจะชมว่าลดได้ "ตั้ง" 1 โล ... และ แคลอรี่ จะอยู่ในช่วงปลอดภัยแล้วก็ตาม ...
แต่ในใจอยากจะลดให้ได้ เพิ่มอีก อย่างน้อย 5 โล ... จะทำได้ไหม ยังไงก็ต้องลอง !!

5. ยิ้มให้มากขึ้น กวนประสาทให้น้อยลง

จะพยามงดเล่นมุขฝืดๆ ที่ไม่ค่อยขำ ให้น้อยลง ...
เพราะเล่นไปก็ไม่มีใครขำ แถมทำเอาเครียดอีกตังหาก

6. หางานอดิเรกที่ไม่เกี่ยวกับ IT ทำดูบ้าง

IT ก็รุ่งอยู่แล้ว แต่อยากหาแนวอื่นๆ เผื่อจะรุ่งกว่า ๕๕๕

7. ออกกำลังกายให้มากกว่านี้

ปีนี้ ขนาดบัตร fitness ของที่บริษัท ยังใช้ไม่ทัน ... ปีหน้า ขอลองใหม่ ....

8. หัดขับรถแบบจริงๆ จังๆ .. ได้ซะที

แม้ได้ใบขับขี่มาแล้วก็ตาม ... ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ ขับออกถนนใหญ่เลยซักหนเดียว ...
ยังไงปี 2013 จะต้องหัดให้คล่องได้แล้ว !!

9. หัด Mobile App แบบจริงจังได้แล้ว

เวิ่นเว้อ มานาน คงต้องเอาจริง ซักที ..

10. หัด Eng ให้คล่องขึ้น

ก็ใกล้ AEC แล้ว ... ยังไงก็ต้องฝึกให้เก่งขึ้น เพื่อหน้าที่การงาน อิอิ


หวังว่าจะทำได้ ... เพราะบางข้อแอบยากจริมๆ เบย >.<"

รีวิว : Asus RT-N66U : ของแรงประจำบ้าน


หลังจากถอย iPhone 5 ได้มาไม่นาน ก็พบว่ามันมีบั๊กอยู่หลายจุด
ที่ใช้งานแล้วค่อนข้างมีปัญหา ... แต่ปัญหาที่ใหญ่สุดดูจะเป็นส่วนที่ใช้งาน WiFi 
ที่แม้แต่ iPad 2 ของคุณแม่ก็ยังเจอปัญหา ... ครั้นจะโทษเฉพาะ iOS ก็ดูจะขี้โกงไปหน่อย ...
ประกอบกับอยากได้ router มาใช้กับ AirNet ให้เต็มประสิทธิภาพอยู่แล้ว
ก็เลยมองหาของแรง มาใช้งานครับ :)

Asus RT-N66U ก็เป็น router ที่ค่อนข้างนอกสายตาในตอนแรก
เพราะเป็นสาวกจานบิน( Cisco LinkSys ) อยู่ก่อนก็เลยไม่มั่นใจในประสิทธิภาพเท่าไหร่ ... 
จนได้มาดู วิดีโอ ประกอบกับแรงยุ ของเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ออฟฟิศ ก็เลยจัดมา ...
สำหรับ spec ดูได้ ที่นี่ 


ค่าตัวที่จัดมา อยู่ที่ 5,690 (9 Dec 2012 ) ไปถอยมาจากพันทิพย์ ประตูน้ำ ...
เดินหลายร้านอยู่ ค่าตัวไม่เท่ากัน ที่ได้มาก็ถูกสุดเท่าที่หาได้ ...
ความน่าสนใจของ RT-N66U คือ Asus ใจป้ำ จัดประกันมาให้เต็มๆ 5 ปี ...
ถัวๆ กันแล้วตกปีละ พัน ... ถ้าเทียบกับเนตที่เสียเดือนละ 6xx ก็พอรับได้


ในกล่องแถม Kaspersky มาให้ แต่  Desktop ที่บ้านใช้ Window 8 ไปแล้ว
เลยยังคิดไม่ออกว่าจะเอามันไปทำอะไรต่อดี


ก่อนซื้อก็ลังเลอยู่นาน ระหว่าง LinkSys EA4500 กับ RT-N66U
แต่พอมา weight ด้าน feature แล้ว พบว่า RT-N66U แถม USB มาให้ 2 port ..
ในขณะที่ Linksys แถมมาให้แค่ port เดียว ... แถมทำ download server ไม่ได้ด้วย ...
dd-wrt ก็ไม่ support ป่วยจิต ... เลยทำให้ตัดใจเลิกเป็นสาวกจานบิน ด้วยเหตุฉะนี้ ...


ตัว Router สามารถตั้งในแนวตั้งได้ โดยใส่ขาตั้งเข้าไป ... ขาตั้งจะเป็นแบบสลัก ... 
แอบใส่ยากพอสมควร แต่พอลงล๊อกแล้ว แน่นมาก .... ครั้นจะถอดออกก็กลัวขาตั้งหัก ...


เทียบกับ NDSL แล้วจะเห็นว่าไม่ใหญ่เท่าไหร่ ตั้งบนโต๊ะได้ชิวๆ ...


ด้วย Speed ระดับ Wireless N900 ... จะให้ notebook ที่รองรับ Wireless N อยู่แล้ว
อีกทั้ง router ก็ support การปล่อย hotspot แบบ dual channel บน SSID เดียวกันอยู่แล้ว
ดังนั้นการที่จะดึงไฟล์ในวง LAN สะดวกกว่าเดิมหลายเท่ามาก ...
แต่เนื่องจาก iOS ยังมี Bug อยู่ ... ก็วิ่งบน 2.4GHz ต่อไป ...


สรุปการใช้งาน 

  • ระยะ WiFi อยู่ประมาณ ... 150-200 เมตร ในที่แจ้ง ... ( วัดจากสัญญาณแสดงใน iPhone )
  • Dual WiFi Channel 2.4Ghz + 5Ghz .. กำหนด speed แยกแต่ละ Channel ได้
  • ต้อง config Channel ที่มีใน router ให้ถูกเพราะอุปกรณ์ที่นำไปต่อ อาจจะมี Channel น้อยกว่า
    ( mbp ที่ลองมี channel น้อยกว่าหาคลื่น 5Ghz ไม่เจอ จนต้องไปปรับ router ให้ตรงกัน )
  • ด้วยระดับราคา ที่เป็น Enterprise (เหรอเปล่า) Feature QoS เลยมีเหลือๆ
    รวมไปถึง Parental Control ... ใช้งานได้จนลูกบวช ...
  • โหลดบิตได้ ไม่ต้องเปิดคอม เสียบ USB ตั้งค่า .... ปล่อยยาว ...
  •  Streaming ... ยังไม่ได้ลองกับ HD Player ว่าจะเป็นยังไง ...
    แต่ transfer file บน 2.4GHz ก็เหลือๆ แล้วนะ  อยากได้เร็วกว่านี้คงต้องลากสาย LAN
  • LAN 1Gigabit ... วิ่งกันลื่นหัวแตก ... ไปคอขวดที่ modem แทน ...
  • เนื่องจากเป็น Wireless router การใช้งานเลยต้องมี modem อยู่แล้ว ...
    และต้องต่อ modem เข้าช่อง WAN ยังหาวิธี bridge ไม่ได้ ทำ NAT ได้อย่างเดียว ....
  • EA4500 โชว์ว่ามี Cloud และ มี Mobile App Support ....
    ของ Asus ก็มีเหมือนกัน มี DDNS ให้ด้วย แต่ Airnet เป็น private LAN เลยอดใช้ไป ...
  • ปุ่ม power อยู่ใกล้ที่เสียบ USB ... เวลาเสียบ USB ต้องระวังโดนปุ่ม power ...
  • ถ้านำ Aircard มาเสียบใน ช่อง USB ... router จะเปลี่ยนไปใช้ USB อัตโนมัติ

Q&A อื่นๆ
  • Q: สาวก apple ทั้งที ทำไมไม่ใช้ airport extreme
    A: ไม่ได้เป็นสาวก แต่ถึงเป็นสาวก ดู link นี้ก็เงิบ
  • Q: ทำไมไม่ใช้จานบิน
    A: มี usb port เดียว และ บิต ไม่ได้ เลยปิดการขาย
  • นึกไม่ออกแล้ว ... จบละกัน :P




วันพุธ, พฤศจิกายน 21, 2555

[Blog] บ่นรวมๆ กับ iPhone Event ครั้งแรก และ ครั้งสุดท้าย



ด้วยความอยากได้ iPhone 5 ไวๆ เลยจัดจองไปล๊อตแรกครับ ...

ตอนแรกก็แอบหลงดีใจว่า process งาน คงจะ parallel กันไปเหมือนงาน event อื่นๆ ที่เคยไป
แต่ที่ไหนได้ .... ปล่อยให้นั่งรอในงานกลัวคนหนีกลับหมดหรือไงไม่รู้
ในใบจองเขียนไว้ สี่ทุ่ม ( 22.00 ) แต่กว่าจะได้เครื่องคือ ตี 3 - 4 ....
ขอโทษนะ ของก็ไม่ได้ฟรี เงินจองก็เสีย 
แล้วยังต้องมานั่งรอกับงาน event บ้าๆ แบบนี้ ....
ครั้งเดียวแล้วลาขาดเลยดีกว่า ....

บรรยากาศงานแบบอารมณ์เซเลป ดูได้ ที่นี่ ครับ
Event เดียวกันแต่เหมือนไปคนละงาน ...

------

สองวันก่อนไปรับเครื่อง ....
แอบหลงดีใจว่าจะได้เครื่องเร็ว ....
ยังพอเข้าใจได้ว่า รับเครื่อง 0:01 ...
แต่เค้าคงลืมบอกไปว่า เฉพาะ 100 คนแรก + เซเลปทั้งหลาย ที่มารับ ....




------


ณ วันจอง ... ไปต่อคิวรอตั้งแต่ 20.30 ... ภาพ ณ timestamp คือ 0:30 ...


------

ความพยายามไม่ลดละ ... ก็ไหนๆ มาจองแล้ว ... นั่งเฉยๆ เหมือนจะชิวดีนะ
แต่ง่วงแล้ว ... และเสียเวลามากถึงมากที่สุด ... น้ำตาจะไหลเมื่อถึงต้นแถว ... ภาพต่อไปนี้ 1:11



ตอนแรกแอบดีใจว่าจะได้เครื่องแล้ว แต่พอผ่านหลังม่านไป .... จำเป็นต้องผ่านอีก 2 ด่านคือ
ด่านจ่ายเงิน และ ด่านตรวจเครื่อง .... แต่ละด่าน ใช้เวลาด่านละ 2 ชั่วโมง ....
เหนื่อย ง่วง และหงุดหงิดมาก พอถึงด่านตรวจเครื่อง จากที่ง่วงๆ กลายเป็นว่า
ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที ด้วยเหตุที่เครื่องที่รับมีปัญหา .... ดังต่อไปนี้

เครื่องแรก ... เป็นรอยรอบเครื่อง ... เห็นแล้วเพลีย ขอเปลี่ยน ....
เครื่องที่สอง ... จอเป็นรอยรูปตัว S เห็นได้ชัดเจน เพลีย++ ขอเปลี่ยน ....
เครื่องที่สาม ... จอเป็นรอยขนแมว ต้องส่องกับแสงถึงจะเห็น ... เริ่มหงุดหงิด ขอเปลี่ยน ....

พนักงานมาไซโคว่าให้เปิดได้อีก 2 เครื่องแล้วต้องเลือกเอาเครื่องใดเครื่องนึง
อยากจะวีนไปว่า "กรูก็ไม่อยากเปลี่ยนหรอกนะถ้าเครื่องไม่มีปัญหา"
แต่พยายามเก็บอารมณ์ไว้แล้วดูเครื่องต่อไป
เครื่องสุดท้าย ... อาการดีที่สุดในสี่เครื่อง 4.9 เต็ม 5 ก็เลยเอามา ...
กว่าจะ process เสร็จ ล่อไป ตี 4 .....

เทียบกับบรรดาเซเลปที่ได้กลับบ้านไปตั้งแต่ ตี 1 ตี 2 แล้ว ...
ช่างเป็นสองมาตรฐานเสียนี่กระไร

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  .... 

1. ถ้าอยากได้เครื่องเร็ว หรือ "อยากจะมาร่วมงาน Event แบบที่เป็น Event จริงๆ"
ต้องเป็นเซเลปหรือมีชื่อเสียงเป็นดารา เดอะสตาร์ เดอะว๊อยซ์ อะไรก็ว่าไป ( ให้คนจัดงานมาเชิญ​ )

2. ถ้าคุณไม่มีชื่อเสียง เป็นแค่คนธรรมดา ก็มีทางเลือกครับ โดยต้อง  "ทุ่มเท" ....
ลางานมานั่งจองคิวเป็นเรื่องเป็นราวไป

3. ถ้าไม่ได้สนใจงาน event แต่อยากได้ของเร็ว .... ก็ต้องทำตามข้อที่ 2

4. ถ้าสนใจแต่ของ อยากใช้เร็วๆ เงินไม่ใช่ประเด็น โปรโมชั่นจากค่ายไม่เกี่ยง ....
MBK คือคำตอบครับ

5. เงินมัดจำแพง .... ไตร่ตรองซักนิดก่อนคิดจะซื้อ เงินของเรา อย่าให้เขามาเอาเปรียบ ...

6. เพลีย และ เซ็ง กับงาน event ค่ายนี่ไปอีกนาน เจ็บแล้วต้องจำ
งานหน้าไม่มีอีกแล้วถ้าไม่เข้า criteria ด้านบน


สรุป ....

ถ้าเสียค่ามัดจำแค่ 1,000 เดียว ผมคงตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า
จะยอมเสียค่าโง่ของตัวเองที่เลือกจอง หรือ  จะมาเสียเวลากับการต่อคิวบ้าๆ แบบนี้



วันอังคาร, พฤศจิกายน 06, 2555

รีวิว : window 8 - ใช้ง่ายกว่าที่คิด



โชคดีที่ยังมี Microsoft Academic Account อยู่ก็เลยได้อานิสงฆ์เอาของใหม่มาเล่นครับ ....
Window 8 เป็น window version ล่าสุดจาก Microsoft ที่ทาง Microsoft เองพยายาม promote เอามากๆ ...
ถึงขนาดทีวีใน Lift ยังมี โฆษณากันเลยทีเดียว ....

อันที่จริงก็เคยลองเล่นแบบ Virtual Machine มาอยู่ก่อนแล้ว
แต่ด้วยความอยากล้างเครื่องอยู่แล้วก็เลยจัดเต็มเสียหน่อย



เครื่องที่ลงเป็นแบบ Desktop ครับ ไม่มี touch screen หรือ touch pad แต่อย่างใด
ใช้บน virtual machine ก็แอบติดๆ ขัดๆ อยู่พอสมควรหาของไม่เจอบ้างอะไรบ้าง ....
แต่พอต้องลงมือมาใช้จริงๆ แล้ว ก็ต้องปรับตัวนิดหน่อย
พอเริ่มคล่องแล้วพบว่ามันใช้ง่ายกว่า window 7 พอสมควร ซึ่ง feature หลักๆ
หากใครได้ใช้บน window 7 มาอยู่แล้วก็น่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ ดังเช่นการ pin บน taskbar ...

รูปแบบของ Start Menu Screen ที่เป็นแบบ Tile นั้นจริงๆก็ไม่ต่างจากการกดปุ่ม Start ใน window 7
เท่าไหร่นัก เพราะหากเคยใช้ "Pin at Start Menu" จะรู้เลยทันทีว่า มันไม่ต่างกัน เพียงแต่จากเดิม
ที่ Start Menu มีเพียง 1/6 ของหน้าจอ มาในตอนนี้จะกลายเป็น Full Screen แทน ...



หลายคนคงบ่นว่า "Menu ไม่เห็นมี Folder รวมกลุ่มให้เลย" มันก็ไม่ค่อยจะถูกซักเท่าไหร่
เพียงแต่ Microsoft เปลี่ยนวิธีการแสดงผลที่เราจำเป็นจะต้องปรับพฤติกรรม หรือ วิธีการเดิมๆ
ที่จากเดิมต้องลาก mouse 4-5 step กว่าจะเปิด app ที่เราต้องการได้นั้น
มาให้เหลือเพียง 1-2 Step หรือที่เรียกง่ายๆว่า "ใช้อะไรบ่อยๆ ก็ pin มันไว้เหอะ" ....
แต่ถึงยังไง บางครั้งเราก็ต้องการใช้ app บางตัวที่มีอยู่ในเครื่อง
เราก็สามารถ "Search" โดยการเอาเมาส์ไปวางที่มุมล่างขวา
แล้วเลือกปุ่ม Search เพื่อพิมพ์หา app ที่เราต้องการได้ ...
ซึ่งจุดนี้ก็ไม่ต่างจาก window 7 มากนัก
เพียงแต่เป็นการแยก search menu ออกจาก start up menu เท่านั้น



Multi-tasking เป็นอีก 1 feature ที่ Microsoft พยายามที่จะโชว์มาก นั่นคือ เราสามารถ "ดู" app 2 ตัวไปพร้อมๆ กันได้ ... โดยจะมี Split Panel ในด้านซ้าย และ ด้านขวา ซึ่ง Active ได้ทีละ 1 ด้านเท่านั้น
โดยเราสามารถ Drag app ที่เราอยากไว้ใน panel ไปแปะไว้ได้ ...
ข้อดีคือ เราสามารถใช้งานพื้นที่ของ Desktop ที่เหลือไว้ได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องมานั่งกังวลว่า
Window ที่เราเปิดเรียงไว้อยู่นั้นจะโดนทับด้วย งานอื่นอยู่เหรอเปล่า ....
ข้อเสียคือคงไม่เหมาะกับ เครื่องที่ไม่ใช่ wide screen หรือมีพื้นที่แสดงผลจอที่ค่อนข้างจำกัด ....


สิ่งที่กังวลทุกครั้งในการ update version ของ window คือกลัวว่า เครื่องจะรันไหวไหม นั้น
ใน window 8 แทบจะไม่ต่างกับ window 7 ซักเท่าไหร่ โดยวัดจาก score ที่ได้มา ของเครื่องที่ใช้นั้นได้มาในระดับที่พอใจ แม้ว่าจะเป็น Quad-Core CPU ธรรมดาก็ตาม .... ( ไม่ใช่ตระกูล i )

สรุป ...

แม้โดยรวม interface จะเปลี่ยนไปเยอะ แต่ด้วยการใช้งานก็มีความคล่องตัวกว่าเดิมเยอะด้วยเช่นกัน
ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆ กับ Mac OSX ก็เหมือนเป็นการ upgrade จาก Snow Leopard ที่ไม่มี Mac AppStore ให้มาเป็น Mountain  Lion ที่มีทั้ง App Store ( Lion )  และ interface upgrade ( Mountain Lion ) มาในตัว ...

ข้อดี
- เปิด app ง่ายกว่าเดิม ด้วยการ pin
- ไม่ต้องลง anti-virus เพราะ Microsoft แถมมาด้วย
- IE ไม่กากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
- App ที่เป็น Metro UI เป็น clean interface ทำให้ดูน่าใช้
- ถ้าใช้งาน Cloud เป็นหลักอยู่แล้ว Microsoft Office อาจจะไม่จำเป็น
- Explorer แถม Ribbon Menu มาให้ พร้อม Feature แสดงผลแบบต่างๆ

ข้อเสีย
- ปุ่ม หนอน (ที่ใช้เปลี่ยนภาษา) switch ได้ช้าอย่างรู้สึกได้ บางทีพิมสลับภาษารัวๆ จะรู้สึกหงุดหงิด
- อาจจะไม่ถนัดสำหรับคนที่ยึดติดกับ start menu เดิม
- มุมล่างขวาจะเป็นการเรียก Desktop แต่ในบางครั้งกลับกลายเป็นเรียก system menu แทน
( ปุ่มค้นหา หน้าจอ start ... blah blah )

ปล. ตอนนี้ติด People App มาก เพราะสามารถเปิด Feed ทุก Social มาไว้ในที่ๆ เดียวแถมกรองได้ด้วย
สำหรับคนที่สนใจจะ upgrade ทำตามใน บลอคโนเนะ ได้เลยครับ

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 01, 2555

รีวิว : triHold - กระเป๋าสตางค์แบบสไลด์


ในที่สุด ของชิ้นแรกที่ได้สั่งไปกับ KickStarter ก็มาถึงมือแล้วครับ
ทำให้รู้ว่าฝรั่งเวลาทำอะไรเค้าจริงจังกันจริงๆ ....
ขนาด video แสดงสินค้ายังจัดกันเต็มมาก ...

triHold เป็นกระเป๋าสตางค์ที่มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับ ไซส์มาตรฐานในท้องตลาดครับ

ขนาดเมื่อเทียบกับ ไอโฟน

จุดเด่นของกระเป๋าสตางค์ใบนี้นอกจากที่มีขนาดที่เล็ก แล้วยังมี gimmick ในการดึงบัตรออกจาก
กระเป๋าสตางค์ได้ด้วยการ "Slide" บัตรออกมาจากช่อง
โดยกระเป๋าจะมีช่องให้สามารถใช้นิ้วดัน บัตรออกมาได้

แม้จะดูเหมือนกระเป๋าบัตรมากกว่า แต่ก็ยังสามารถใส่ธนบัตรได้ด้วยในช่องว่างตรงกลาง ...
จากที่ลองใช้งานจริง พบว่าใส่ธนบัตรได้ประมาณ 15 ใบ 
ก็ค่อนข้างแน่นและปลดล๊อคลำบากแล้วครับ




รูปแบบกล่องที่ให้มากับ package นั้นจะมีสารกันชื้นเหน็บมาด้วย
โดยรวมดูดีมาก ติดแต่ที่ไม่ใช่ Brand ใหญ่ๆ


จากการใช้งานจริงนับว่าสะดวกมากสำหรับ คนที่มีการใช้การ์ดเป็นประจำ
( กด ATM บ่อยๆ  หรือใช้ BTS/MRT เยอะๆ ) เพราะจะสะดวกมากในการดึงบัตรต่างๆออกมาใช้
เพราะถึงแม้ด้านในจะไม่มีช่องให้ดึงออกมา แต่ช่องที่ใส่ก็มีทีจับบัตร
ให้สามารถดึงออกมาได้สะดวกเช่นกัน ...


สรุป

TriHold เป็นกระเป๋าสตางค์ขายจุดเด่นที่ปกติเราต้องใช้บัตรเยอะๆ อยู่แล้ว
ให้เป็นเรื่องที่สะดวกมากกว่าเดิม แต่หากใครพกเงินสดเป็นจำนวนเยอะๆ
อันนี้อาจจะไม่เหมาะซักเท่าไหร่ครับ

หากใครอยากได้มาไว้ในครอบครอง ตาม link  นี้ได้เลยครับ :P  ...
มีจำนวนจำกัด *-*


[Blog] iPhone 5 Package ค่ายไหนที่โดนใจ



ช่วงนี้กำลังโดนกระแสกลืนกิน ไม่ว่าจะเป็น iPhone 5
หรือแม้แต่ Google Nexus ที่จะออกกลางเดือนนี้
แต่เค้าว่าไว้ว่า

"ซื้อรถต้องดูค่าบำรุงรักษา และ ราคาน้ำมัน"

โทรศัพท์มือถือก็คงหนีไม่พ้นเช่นกันครับ ....
หากแม้ถูกใจในตัวเครื่องแล้ว ( ดังเช่น iPhone ) สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยคือ Package !!

หลายๆ คนที่ซื้อเครื่องเปล่า เพราะ package เดิมดีอยู่แล้วนั้นก็ขอดีใจด้วยครับ
แต่สำหรับหลายๆคน ที่จะเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ทั้งที ก็คงต้องคาดหวังอะไรบางอย่าง
ที่เพิ่มการใช้งานของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างน้อยก็ ... Data Plan นั่นเอง ...

ตั้งแต่ใช้ แพคเกจของ Optimus 2x มาก็ยอมรับว่ามันเหมาะสมในระดับพอรับได้ นั่นคือ
ถ้าต้องการแค่ เปิด Facebook + เล่น Twitter + แชทบน Line แล้วล่ะก็
500 MB ก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการใช้งาน

แต่วันดีคืนดี นึกครึ้มอยาก upload รูปที่มีขนาดใหญ่ๆ ตามความสามารถของกล้องแล้วล่ะก็
อาจจะเจ็บหนักได้ ( สมมติ รูปละ 8MB คงแทบน้ำตาไหล )  ...
workaround สำหรับแก้การเผลอนึกครึ้มก็คือไปปรับคุณภาพของรูปลดลงครับ ....
อย่างเช่นจาก 8MP ให้เหลือแค่ 1024x768 (ขนาด 4:3) เป็นต้น .... แต่ไหนๆ ก็ซื้อโทรศัพท์ใหม่ทั้งที ...
จะใช้ไม่ให้เต็มประสิทธิภาพของเครื่องก็ดูแปลกๆ ยังไงชอบกล ...
วันนี้ก็เลยได้ฤกษ์ เอาแพคเกจของแต่ละค่ายมาเปรียบเทียบความคุ้มค่ากันครับ
โดย Criteria ของการเลือกคือ

"แพคเกจต่ำสุดที่ให้ Data Plan ไม่จำกัด"
ดังนั้นสำหรับแพคเกจ ที่ผ่านการคัดเลือกในแต่ละค่ายมีดังต่อไปนี้
















ดูด้วยตาเปล่าอาจจะสับสน เลยทำ Chart แบบ 24 เดือน มาให้เห็นกันง่ายๆ
ดังต่อไปนี้ครับ ( รวม vat7% )


จะเห็นได้ว่า ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม ราคาแพคเกจของ TrueMove
จะถูกว่าอีก 2 ค่ายอื่น อย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้ามาดูที่ panalty ( อัตราส่วนเกิน )
แทบจะไม่ต่างกันซักเท่าไหร่ ....

อนึ่ง การเลือกใช้ แพคเกจ อาจจะดูจากราคาเพียงอย่างเดียวไม่ได้
ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่ที่เรามีการติดต่อ แบบ Voice กับคนค่ายไหนเยอะกว่ากัน
ก็ต้องเก็บมาพิจารณาด้วยครับ ที่เอามาวิเคราะห์นี้เป็นเพียงด้านราคาเท่านั้น :)

วันจันทร์, ตุลาคม 22, 2555

อ่าน VaVaRiO ผ่าน Google Currents ได้แล้ววันนี้




จริงๆ ก็เปิดผ่าน Mobile Browser ได้อยู่แล้ว 
แต่ด้วยบางทีก็อยากจะมี Mobile App เป็นของตัวเองบ้าง ...
ครั้นจะนั่งทำเองทั้งหมดก็ ดูเปลืองพลังไม่ใช่น้อยสำหรับแค่ "App ไว้อ่าน Blog"
ประกอบกับพอดีไปอ่านเจอ app เด็ดๆ จาก Google 
ก็เลยทำหน้าเวปให้เป็นเรื่องเป็นราวไปครับ :)

จะใช้งานยังไง ? โหลดได้ที่ไหน ?
ก่อนอื่นเลยก็ต้องไปโหลด Google Current มาก่อนครับ ....


รองรับทั้ง android / ipad / iphone เรียกได้ครอบจักรวาลเลยทีเดียว ...
หากใครเคยเล่นพวก Flipboard แล้วล่ะก็ Google Current จะเป็น app ที่มีลักษณะคล้ายๆกัน
แต่จะออกไปทาง Google Reader มากกว่า นั่นคือจะโหลดข้อมูลในลักษณะ feed แล้วมาแสดงผล
แบบ Pagination ได้โดยที่ content หน้าเวปไม่ต้องทำการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย .... 
โดยเราสามารถสร้าง Edition ในการแสดงผลในแบบที่เราต้องการได้ โดยผ่าน "Producer
ที่ Google มีมาให้อยู่แล้ว  หรือพูดง่ายๆ ว่า 
เราสามารถทำ หนังสือรวม Feed ใน Style ของเราได้ทันที ...



ในหน้าจอของ Producer จะมี Section ต่างๆ ตั้งแต่ table of content 
จนถึงดึง feed , photo steam , social หรือแม้แต่เขียน article ลงไปใน app ได้ทันทีแบบไม่ผ่าน feed
ถ้าไม่ได้มี Website เป็นหลักเป็นแหล่งแล้วก็ถือว่าเป็น feature ที่ค่อนข้างสะดวกเลยทีเดียว ...

หน้าจอหลังจาก add edition โดยการ sync จาก Google Account .... มี เวปเราเองก็ บลอคโนเนะ ...
เวลาทำการ add edition ใหม่ เราสามารถเลือกจากกด + ด้านบนมุมขวา 
แล้วทำการ search edition ที่เราสนใจได้ อย่าง search "vavario" ก็จะเจอดังด้านล่างครับ :D :D

ทั้งนี้ทั้งนั้น หน้าจอเราสามารถปรับแต่งได้ตามใจชอบ แต่ด้วย ระบบ พื้นฐาน
ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปอยุ่แล้ว ...
แต่หากเราเปลี่ยนแปลงหน้า content ของ edition
จะมีผลกับคนที่ subscribe ใน edition นั้นทันที .... 
อีกทั้งยังมี private content โดยเราสามารถกำหนดสิทธิภายใน edition เองได้ด้วย ...

โดยรวมนับว่าสะดวกครับ ไม่ต้องมานั่ง upload app เอง ... 
แต่ถ้ามองว่าอยากได้ app แยก คงต้องแนะนำให้ข้ามไปครับ :P 

มีอะไรติชมในตัว edition สามารถแนะนำมาได้นะครับ :D :D


วันจันทร์, ตุลาคม 08, 2555

[Blog] จบโทแบ้วแจ้ ~


ในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึง นั่นคือตอนนี้ .... เรียนจบปริญญาโทแล้วครับ :D :D  
ออกจะควันหลงไปหน่อยแต่กว่าจะฟื้นฟูร่างกาย
หลังจากที่ใช้พลังงานไปกับการปั่นโปรเจคไปได้ก็เล่นเอาหลายสัปดาห์
กว่าจะได้พักเต็มที่ เลยมาเขียน Blog ไว้จดจำเสียหน่อย อิอิ

หลังจาก Late มากว่า 2 เทอม ( 3 ปีพอดี ) ในที่สุดก็ได้ปั่นโปรเจคเสร็จเสียที 
อันที่จริงก็ตั้งใจจะทำให้เสร็จตั้งแต่เลยมาเทอมนึงแล้ว แต่กับอาการหวังลมๆแล้งๆ
กับสิ่งที่อยู่ในอนาคตบางอย่าง เลยไม่ได้มีเวลาทำซักที .... 
แต่สุดท้ายก็ผ่านช่วงนั้นมาได้แล้ว ^^"

หากถามว่า ดีใจไหม ?? ดีใจสุดๆ ... เหมือนหายใจได้ทั่วท้องมากยิ่งขึ้น .... :)

จากการทำโปรเจคจบ ป.โท นี้เสร็จทำให้ได้ข้อคิดอะไรหลายๆอย่าง 
ไม่ว่าจากอาจารย์ที่ปรึกษา หรือแม้แต่จากคนที่ห่วงใย ... 
ก็จะพยายามปรับปรุงตัวเองให้ดียิ่งขึ้นๆ ไป ... 
และจะไม่ทำให้คนที่เราห่วงใยผิดหวังแน่นอน :)

สุดท้ายก็ต้องขอขอบคุณดังต่อไปนี้ครับ :)

ขอบคุณ อ.เนะ
ที่ช่วยเหลือมาตลอด ทั้งการให้คำปรึกษา แนวทางการพัฒนาโปรเจค หรือแม้กระทั่งตอนสอบ

ขอบคุณ คุณหม่าม๊า และ อาหลี
ที่ช่วยเป็นกำลังใจสำคัญที่เป็นแรงผลักดันให้เข็น Master Project ชิ้นนี้จบได้ด้วยดี 

อบคุณน้องพริก, น้องแนน และ น้องตาล
ที่ช่วยกระตุ้นให้ปั่นโปรเจคให้เสร็จในเทอมนี้

ขอบคุณพี่บ่าว, น้าศิษฐ์ และ พี่ต้อง
ที่แนะนำและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับ Project ทั้งในด้านการ present
และกระบวนงานต่างๆที่จำเป็นในการทำ Project 

ขอบคุณเพื่อนผึ้งและ เพื่อนเบียร์
สำหรับข้อมูลและความช่วยเหลือทางด้านข้อมูลต่างๆใน Project






ป.ล. ... อยากเอาใบปริญญามาทำกำไรบ้างจุงเบย ~




วันศุกร์, ตุลาคม 05, 2555

รีวิว : Beastie Bay - เมื่อ Kairosoft มาทำ Pokemon



ไม่ได้เขียน Blog นาน จนฝุ่นเกาะ ... วันนี้เลยจัดซักหน่อยเด๋วตกรถไฟ ครับ :P

Beastie Bay - เป็นเกมส์แนว RPG ที่ Kairosoft พยายามทำ
มาเป็นเกมส์ที่ 3 ในฝั่ง Android ( Epic Astro Story , Kairobotica และ Beastie Bay )
และเป็นเกมส์แรกที่ Kairosoft ยอมปล่อยเป็น Free Full Game ครับ ย้ำว่า Free Full Game
นั่นหมายถึงว่า สามารถโหลดเล่นได้ฟรี ....
แต่ !! มีปิดโฆษณาได้โดยการซื้อผ่าน in-app purchase ครับ ...
ซึ่งยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าถ้าลงหลายๆ Device แล้ว
จะสามารถใช้งานได้เหมือนภาคเก่าๆ เหรอเปล่า อันนี้ไว้ว่างๆ จะมาลองอีกที ...

โดยระบบจะมี 2 ส่วนหลักๆ คือ
1. สร้างเกาะตากอากาศ ที่ Popular ที่สุด !!
2. ผจญภัยสุดหยั่งกับ สหาย Monster คู่ใจ ...

ถ้ามองผ่านๆ ก็น่าจะคล้ายๆ กับ Epic Astro Story  ...
แต่ รายละเอียดของเกมส์นั้น ... ละเอียดเยอะกว่ามาก (ถึงมากที่สุด)
นับได้ว่าเป็นอีกเกมส์ที่เล่นได้เรื่อยๆ จนกว่าจะเบื่อเลยทีเดียว ...
เอาล่ะ มาดูรายละัเอียดระบบภายในเกมส์กันดีกว่า


ระบบตัวละคร
Beastie Bay เป็นเกมส์ที่มีตัวละคร 3 ลักษณะได้แก่

ชาวเกาะ
เป็นกลุ่มคนที่เราต้องไปช่วยจาก Monster ในที่ต่างๆ
เมื่อช่วยได้แล้วชาวเกาะก็จะมาช่วยสร้างบ้านเรือนภายในเกาะเรา

นักท่องเที่ยว
จะต่างกับชาวเกาะตรงทีจะเป็นกลุ่มคนที่มาใช้ตังในเกาะเรา ... การได้มาจะมี 2 ลักษณะคือ
- เข้าไปช่วยในเกาะแล้วได้มาเป็นนักท่องเที่ยว
- ลงทุนในเกาะที่นักท่องเที่ยวอยู่เพื่อให้มาเที่ยวในเกาะเรา ...

Monster 
สหายคู่ใจที่ใช้ไปผจญภัย ... การที่จะได้มา คือ ต้องโยนอาหารให้ Monster นั้นกินขณะที่อยู่ในสภาวะอ่อนแอ (เดี๋ยวนะ ...) โดย Monster ที่ได้มา เราสามารถมาจัดทีมต่อสู้ได้ 3 ตัว ต่อ 1 ทีม โดยจะมีทีมสำรอง เพิ่มได้ ตาม Level ของ Survival Tool  และ เราสามารถมี Monster ในครอบครองได้เพียง 45 ตัวเท่านั้น



ระบบแผนที่
แผนที่ใน Beastie Bay จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ

แผนที่ในเกาะเรา ( Home)
ไว้สำหรับปรับปรุงหรือบริหารเกาะให้มีประสิทธิภาพ

World Map ( Map)
ไว้สำหรับเลือกสถานที่ผจญภัย

ทีมผจญภัย (Team)
ในกรณีที่เราเลือกผจญภัยนอกเกาะ จะมีให้เลือกครับ :)

ซึ่งการทำงานใน Beastie Bay นั้น จะคู่ขนานกันได้เสมอ
หมายความว่า ระหว่างที่เราเดินทางไปผจญภัย
บนเกาะเราก็สามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างไปพร้อมๆ กันได้เช่นกัน


ระบบบริหารเกาะ
สำหรับคนที่คุ้นเคยกับระบบเกมส์ของ Kairosoft
ไม่ว่าจะเป็น Hot Spring Story , World Cruise Story
หรือเกมส์ Tile อื่นๆ ของค่ายนี้ จะค่อนข้างเข้าใจง่าย
กับระบบการวางตำแหน่งของสิ่งของต่างๆได้ดี
แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเล่น ...
ระบบ Tile ของเกมส์นี้จะเน้น Civil , Nature และ Recovery Rate ของสิ่งก่อสร้าง
ที่สร้างไว้ใกล้ๆกัน ... ดังนั้นหากอยากให้ผลผลิตดีก็ควรคำนึงถึง
ค่าทั้งสามอย่างนั้นด้วยครับ :)


ระบบผจญภัย / ต่อสู้
เป็นไปไม่ได้เลยที่เกมส์แนว Pokemon จะไม่มีฉากต่อสู้ .... หากเทียบกับต้นฉบับแล้ว
แม้ระบบยังจะห่างไกล แต่ก็ให้ความสนุกไม่แพ้กันครับ ในการผจญภัย
จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงระดับอาหาร (รูปก้อนเนื้อหน้าหลัก)
ว่าเรามีเพียงพอต่อการเดินทางหรือไม่ หากไม่พอจะทำให้เราเสีย Time Turn ไปฟรีๆ
ดังนั้นควรคำนวณให้เหมาะสมก่อนออกผจญภัยเสมอ ^^"



ระบบค้นคว้า
เมื่อเราผจญภัยไปในเกาะ หรือ พื้นที่ต่างๆ ก็จะมี การค้นคว้าใหม่ๆ มาให้เราเริ่มค้นคว้า
เพื่อพัฒนาเกาะเราต่อได้ครับ ในการค้นคว้าจะใช้จำนวนของไม้ เป็นอัตราส่วนในการค้นคว้า
หมายความว่า ของแต่ละอย่าง ในการค้นคว้าจะใช้ จำนวนของไม้ที่คิดเป็น % ในการค้นคว้าไม่เท่ากัน


ระบบไอเทม
จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ของสวมใส่ , ของเพิ่มพลัง และ ของช่วยชีวิต ( Survival )
โดย ของ Surival ส่วนใหญ่มาจากการค้นคว้าครับ จำนวน Level ของ ไอเทม Survival
จำเป็นที่จะต้องใช้ coin เป็นหลัก .... เช่นเดียวกับ ของสวมใส่
ที่สามารถเพิ่มความสามารถของของได้


ระบบ Coin
ภาคนี้เนื่องจากปล่อยฟรี จึงค่อนข้างเคี่ยวเกี่ยวกับการหาตังพอสมควร ...
ของบางชิ้นจำเป็นที่จะต้องใช้ coin เป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น
ปลดล็อค Lv ของ Monster จำเป็นที่จะต้องใช้ Coin เพื่อในการปลดล็อค ( limit Lv แรก อยู่ที่ 25 )
ดังนั้นหากต้องการเล่นโชว์พาว ( Lv 99 ) จำเป็นที่จะต้องปลดล๊อค อีก 4 ครั้งได้แก่ ... 35 , 55 , 70 , 99
วิธีการได้มาของ Coin จะมี 2 ลักษณะ คือ ....
จำนวนเวลาที่เราเล่นเกมส์ ... 1 ชั่วโมง = 1 coin หรืออีกทางนึงคือ in-app purchase ครับ

Re-new Game

เป็นที่แน่นอนว่าเล่นเกมส์ Kairosoft ไม่เล่นรอบที่สองนี่บาปแน่นอน ...
ภาคนี้จะแตกต่างออกไปคือ เราสามารถเล่นรอบแรกได้นานเท่าใดก็ได้ ...
Item จะสามารถ transfer มาได้หมด ... ค่า upgrade ต่างๆ จะ transfer มาหมด ...
ซึ่ง Monster เราสามารถ Carry มาได้ 3 ตัว ที่เป็น Main Team ของเราครับ
แต่เดี๋ยวก่อน ... การที่จะ Transfer มาได้นั้นจำเป็นที่จะต้อง
ใช้เงินจำนวน 20,000 ซึ่งค่อนข้างเยอะพอสมควรในการเล่นรอบแรก ...
ในการเล่นรอบสองจึงอาจจะมีการเล่นรอบ 3 ด้วยเป็นแน่แท้ :)


** ยังขาดระบบ intstructor ที่ไม่ได้กล่าวถึงไว้ Blog หน้าจะรวมมาให้อีกทีครับ :)

โดยสรุป

- ติดงอมแงม ยิ่งกว่า Grand Prix Story ...
- การสร้างเมืองควรเว้นที่ไว้ให้ Clinic กับ School ตอน late game ด้วย เพราะจะเป็นตัวช่วยได้เยอะ(มาก)
- อย่าลงทุนกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเยอะ (เปลืองไม้)
- Very Recommended !!







วันพุธ, สิงหาคม 01, 2555

[Blog] You got Driving License 1 ea


หลังจาก ได้ฤกษ์ไปสมัคร เรียนขับรถ ณ กรมขนส่ง ก็ไปเรียนทั้ง ทฤษฎี และ ปฎิบัติ
มาครบแล้ว 13 ชั่วโมง ก็ได้ไปสอบเพื่อเอาใบขับขี่ครับ ...

สิ่งที่แตกต่างจากการสอบใบขับขี่ปกติ
คือเมื่อไปเรียน ที่ โรงเรียนสอนขับรถของกรมขนส่ง จะต้องสอบ

1. สอบข้อเขียน 30 ข้อ ( 23 ข้อผ่าน )
2. สอบปฎิบัติ 3 ท่า โดยสอบ เดินหน้า-ถอยหลัง , จอดเทียบ
และ สำหรับเกียร์ธรรมดาสอบหยุดบนทางชัน ส่วนเกียร์ออโต้สอบถอยเข้าซองแบบ 45 องศา

ส่วนของภาคปกติก็สอบเยอะกว่านี้พอสมควร ( เท่าที่ได้ยินมา )

เมื่อสอบเสร็จก็ไปเ้ดินเอกสารตามที่เจ้าหน้าที่บอกไว้ ...
รวมโดยคร่าวๆ ก็คือเสียวันลาไป 1 วัน ( บ่ายวันพุธ กับ เช้าวันพฤหัส )
ก็เป็นอันได้ใบขับขี่ มาครับ
เป็นสิงห์สนามซ้อมมานาน คราวนี้ก็เหลือแต่ ลงสนามจริงแล้ว :)

ว่าจะเขียน รีวิวคร่าวๆ ตอนเรียน แต่พอไปเรียนจริงๆ
มันก็ไม่มีอะไรมาก เลยไม่รู้จะเขียน blog ยังไง - -''
เลยมาสรุปเอาไว้ใน Blog นี้เลยดีกว่า ...

เนื่องจากเรียนเกียร์ธรรมดา เลยมีขั้นตอนเยอะกว่าปกติ ... ดังต่อไปนี้ครับ :P

ชั่วโมงที่ 1 - 2
หัดควบคุมพวงมาลัย ... กับขับขึ้นสะพาน

ชั่วโมงที่ 2 - 4
หัดเดินหน้าถอยหลัง  ... กลับรถ ... จอดเทียบ

ชั่วโมงที่ 5 - 6
หัดหยุดบนสะพาน กับ ถอยเข้าซองแบบ 90 องศา

ชั่วโมงที่ 7 - 8
หัดถอยเข้าซอง 45 องศา

ชั่วโมงที่ 9
ทบทวนทั้งหมด ...

ประเมิณจากการเรียนทั้งหมดก็ถือว่าโอเคครับ ไม่มีอะไรพิเศษ
อาจจะเพราะด้วยมันเรื่อง Basic มากเกินไปเลยดูชิวเกิ๊น ๕๕

ช่วงนี้ไฟเริ่มลนก้น คงหายไปอีกพักใหญ่ๆ จนกว่า master project จะเสร็จครับ :)





วันอังคาร, มิถุนายน 12, 2555

[Blog] ได้ฤกษ์ไปสมัคร เรียนขับรถ ณ กรมขนส่ง

หลังจากเป็นโรคเลื่อนมานาน จนโดนล้อไปหลายรอบ .. (เกือบๆ 10 ปีได้)
สำหรับการไปเรียนขับรถ ....
วันนี้พอไปทำธุระเกี่ยวกับการเป็นผู้(ถูก)เยียวยาจากภัยพิบัติ
ก็เลยได้ ไปสมัครเรียนให้เป็นเรื่องเป็นราวครับ

จริงๆ กะจะสมัครเรียนแถวบ้านมานานแล้ว แต่ได้ยินจากวิทยุว่าที่กรมขนส่งก็มีให้เรียนเหมือนกัน
เลยถาม อากู๋จนได้ไปอ่านจาก iamnoot เลยได้รู้ว่า
การเรียนกับกรมขนส่งมีข้อดีหลายๆอย่างอยู่เหมือนกัน ...
ทั้งในเรื่องของการเดินทาง และ รูปแบบหลักสูตร
ก็เลยไปลองสมัครดูครับ

หลักสูตร และ ระเบียบการ



ตอนแรกกะจะเขียนบรรยายแต่นึกขึ้นได้ว่า มีถ่ายรูปเก็บไว้เลยเอามาแปะเลยดีกว่า :P
ต้องมาสมัครเองในเวลาราชการ ...นะเอ้อ ...
หลักสูตรที่เรียนจะเป็นหลักสูตรขับรถยนต์นอกเวลาราชการ โดยตัวหลักสูตร
จะมีจำนวนชั่วโมงเรียนอยู่ ทั้งหมด 13 ชั่วโมง ( ทฤษฎี 4 , ปฎิบัติ 9 )
หลังจากผ่านทดสอบของหลักสูตร จะได้ใบรับรอง 
ที่สามารถนำไปยื่นเพื่อขอใบขับขี่ชั่วคราวได้เลย
ซึ่งก็ค่อนข้างสะดวก แต่อาจจะลำบากหน่อยที่เวลาสอบ ต้องมาสอบเฉพาะวันพุธเท่านั้น ...
ค่าเรียนจะประกอบไปด้วย

  • ค่าบำรุงการศึกษา 650 
  • เงินค้ำประกัน 2000 
  • และหาก ไม่มีรถก็จะเสียค่าเช่ารถอีก 2,700 ... 

โดยเงินประกันสามารถขอคืนได้เมื่อเรียนจบหลักสูตร ...
ถ้านับจริงๆ หากไม่มีรถก็จะตกอยู่ที่ 2,700 + 650 = 3,350 
พร้อมกับได้เรียนกับกรมขนส่งโดยตรง ... ก็ต้องพิจารณาดูครับ ส่วนตัวคิดว่าคุ้ม :P

การเดินทาง




สถานที่สมัครเรียนคือที่ อาคาร 8 ของกรมขนส่ง

คำเตือน : หากลงจาก BTS แนะนำให้ต่อ มอเตอร์ไซด์ หรือ taxi เพื่อความรวดเร็ว 
เพราะต้องเดินข้ามฟากกันเลยทีเดียว

สำหรับแผนที่ ให้ตาม link นี้ครับ http://on.fb.me/Kn8jl9

การสมัคร

เมื่อยื่นเอกสารครบแล้ว  เจ้าหน้าที่จะมีให้ไปทดสอบทางกายภาพ เล็กน้อยก่อนที่จะให้กรอกใบสมัคร
ซึ่งการทดสอบมีอยู่ 4 อย่าง ตามรูปด้านล่างครับ 


หลังจากผ่านการทดสอบ เจ้าหน้าทีจะให้เซน ใบสมัคร และ ให้ชำระเงินค่าเรียน ..
และจะได้ใบบันทึกประวัติการเรียน มาให้เราด้วย ... ( เก็บไว้ให้ผู้สอนเซนต์ทุกครั้ง )
โดยขั้นตอนทั้งหมดใ้ช้เวลาไม่ถึง ครึ่งชั่วโมง ครับ นับว่าเร็วมาก ...
คำเตือน : อย่าไปช่วงเวลา 12.00 - 13.00 อาจจะได้นั่งรอเงกได้ ... 


วันพุธ, มิถุนายน 06, 2555

อ่านผ่านๆ กับ REWORK : ยกเครื่อง ความคิด


ปกติเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือซักเท่าไหร่ ...
แต่เห็นคนใน TL ของ Twitter พูดถึงกันเยอะ อีกทั้ง ลุงสรยุทธ พูดในช่อง 3 
เลยไปลองตามหามาอ่านดูครับ

หนังสือเล่มนี้ ออกมาตั้งแต่ปี 2010 แต่เพิ่งมีฉบับแปลเป็นไทยมาเมื่อไม่นานมานี้
เห็นแวปแรก นึกว่าจะเป็นพวกรวมเล่มคำคมต่างๆ แต่พอได้อ่านคำนำ
รวมไปถึงประวัติคนเขียนแล้วทำให้ถึงกับเสียตังค์ซื้อโดยไม่ต้องคิดมาก
เพราะเป็นเรื่องที่กำลังสนใจอยู่ ...

ประวัติคนเขียนคร่าวๆ ของหนังสือเล่มนี้ ก็คือเจ้าของบริษัท 37Signals ที่จะดูเหมือน
ไม่ค่อยดังมากนักในบ้านเรา แต่จริงๆ แล้วบริษัทนี้เป็นบริษัทที่คิดค้นทำ Ruby On Rails  ที่โด่งดัง
เมื่อเกือบๆ 9 ปีที่แล้ว

Concept ของหนังสือจะไม่เหมือนหนังสือพวก พ่อรวยสอนลูก
หรือหนังสือที่เหล่านักการตลาดแบบ MLM ชอบเอามาใช้ในการชักชวนให้คนเข้าไปร่วมธุรกิจ

แต่หนังสือเล่มนี้จะเน้นให้เราทำงานประจำอย่างมีประสิทธิภาพ 
พร้อมทั้งยกตัวอย่างไอเดียให้เราสนใจในธุรกิจที่เราชอบไปพร้อมๆ กัน

ตอนนี้อ่านไปได้ประมาณครึ่งเล่มครับ ...
ซึ่งพอมาดูจริงๆ แล้ว .... หลักการของหนังสือเล่มนี้ก็เป็นการทำงานในลักษณะ Agile อย่างนึง
แต่ด้วยการเขียนแบบไม่เครียดมาก ... จบใน 1 ตอน ( แต่ละตอนมีประมาณ 1-3 หน้า )
เลยทำให้ไม่รู้สึกกดดันว่า "ทำไมเราทำแบบเค้าไม่ได้"
ทำให้เรามองธุรกิจที่เราอยากจะทำให้อยู่บนพื้นฐานของ ความพอดี และ ความพอใจ ....
โชคดีทีไ่ด้เรียนวิชาสาย management มานิดหน่อย ( MIS )  เลยทำให้พอเึข้าใจได้ว่า
สิ่งที่เค้าต้องการจะสื่อสารคืออะไร ...

แนะนำสำหรับคนที่ Motivate ใกล้จะหมดในการทำงานครับ ...
ลองเอามาปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของตัวเอง น่าจะได้ผล ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม :)






วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 10, 2555

The Mom's iPad

โหนกระแส The new iPad ด้วยการถอย iPad2
ให้คุณแม่เนื่องในโอกาสวันเกิดครับ
เลยถือโอกาสเขียนรีวิวส่วนตัวเล็กน้อยซักหน่อย


Y U NO THE NEW IPAD

เคยออกตัวแรงๆ ไปหลายรอบแล้วว่าไม่ได้เป็นสาวก Apple ...
ซึ่งใจจริงเอง ก็อยากจะจัดเป็น The new iPad ให้คุณแม่อยู่พอสมควร
เพราะเคยมีประสบการณ์ไม่ค่อยดีเกียวกับของ apple ที่ end-of-life แบบ iPod Mini
เลยค่อนข้างกลัวในการเลือกซื้อของตกรุ่นอย่าง iPad2 ด้วยเช่นกัน ...

ครั้นอ่าน รีวิว ของหลายสำนัก รวมกับไปจับของจริงมา สำหรับ The new iPad แล้วนั้น
ไม่ค่อยตอบโจทย์ ที่จะซื้อให้คุณแม่ซักเ้ท่าไหร่ ...
จึงยอมเลือกของตกรุ่นแต่ได้ราคาสบายกระเป๋าแทนครับ :)


Mom's Requirements

เดี๋ยวนี้ซื้อของอะไรค่อนข้างคิดเยอะมาก ตั้งแต่ Failed ไปกับ BlackBerry Storm
จนทุกวันนี้ gadget แต่ละอย่าง ต้องทำ feasibility กันเลยทีเดียว ว่าการใช้งานจะคุ้มค่าหรือไม่ ...
ตัวอย่างเช่น ...

ดังนั้น ด้วยเหตุผลข้างๆคูๆ (เหตุผลส่วนตัว) ในการเลือกซื้อ iPad2 ใ้ห้คุณแม่ครั้งนี้
จึงมีเหตุผลตามมาดังต่อไปนี้ครับ :P

1. ไม่มีอะไรใหม่ (มาก) สำหรับ The new iPad 

เพราะคุณแม่ไม่ได้ Geek เข้าสายเลือด และถึงแม้คุณลูกก็จะทำงานสาย IT ก็ตาม
การมาของ The new iPad ไม่ทำให้รู้สึก Wow เท่าไหร่นัก ... กล้องดีขึ้น แรมเยอะขึ้น จอชัดขึ้น
ทั้งหมดมันทำให้การใช้งานโดยรวมใช้งานง่ายขึ้นก็จริง แต่หากแลกกับจำนวนชั่วโมงของการ "ชาร์จ"
ที่ต้องแลกกับการใช้งานแบบ outdoor บ่อยๆ ดูเหมือนจะไม่สะดวกเท่าไหร่นัก.

2. เมื่อ NetBook ไม่ตอบโจทย์ ทั้งหมด

โดยแรกๆ ที่คุณแม่ให้หา notebook ให้เมื่อสองปีก่อน
แต่ด้วยเรื่องของราคา และน้ำหนัก ที่หนักเกือบๆ 3 กิโล ( สมัยนั้น MacBook Air ยังแพงหูฉี่ )
ทำให้เลือกที่จะซื้อ Netbook มาใช้แก้ขัดไปก่อน สามารถพิมพ์งาน เล่นเนตได้ แบบพอถูไถ
อันเนื่องมาจาก RAM จำนวนน้อยนิด ( ได้อย่างมาก 2GB ) การจะรัน Chrome หรือ Browser
ที่มาพร้อม Flash จึงค่อนข้างที่จะลำบาก ( หลักๆ คือเกมส์บน Facebook ) แต่ด้วยความ Bias
ของเหล่าค่ายเกมส์ ที่มีออก version บน iOS จึงเป็นเหตุผลอีกอย่าง ที่ทำให้คุณแม่สนใจ iPad ไม่น้อย


จาก requirement ข้างต้น อาจจะดูค่อนข้างพื้นฐานสำหรับ Tablet โดยทั่วไป
แต่ด้วยคุณแม่มี Mac Mini อยู่แล้ว การใช้งานหลักๆ ที่ออกแบบให้คุณแม่ จึงเป็นดังต่อไปนี้ครับ

งานเอกสาร
- Draft เอกสารคร่าวๆบน Tablet ( Outdoor ) แล้วส่งผ่าน email / WiFi กลับไป Sync ลงเครื่อง Mac Mini

Social network & Gaming
- Facebook everywhere ( within WiFi Range ) **คุณแม่ก็เล่น FB นะเออ ...
- Facebook Gaming - จำพวก Diamond Dash + Bejewel Blitz
- Casual Game ( Puzzle / Block / Fruit Ninja / Majong / Solitaire )

ซึ่งสำหรับ Casual Game เท่าที่ดูมานานพอสมควรสำหรับ iOS ก็มี app ปล่อยฟรีมาเรื่อยๆ ...
และคุณแม่ก็ไม่ได้เล่นเกมส์ซ้ำๆ มากมายนัก ความน่าจะเป็นในการเสียตังจึงมีน้อย เนื่องจาก
เกมส์ที่จะซื้อนั้น ต้องเป็นเกมส์ที่เล่นบ่อยจริงๆ ( ซึ่งไม่ค่อยมี #ฮา )


RAM 512 ไม่น้อยไปเหรอ ?

บอกตามตรงว่า "ไม่น้อย" เลยสำหรับ Tablet.. ยิ่งเป็น app บน iPad ด้วยแล้ว
ยิ่งไม่น้อยเลยครับ :) ...ถึงแม้จะไม่เยอะเท่า The new iPad ที่ให้มา 1 GB ก็ตาม ...
แต่ถ้าสอนคุณแม่ปิด app ให้เป็น ( ไม่ให้รันใน background ) จะมี 512 หรือ 1GB ก็ไม่ต่างกัน
ถ้า app นั้นไม่ได้ใช้เกิน 512MB :P


สรุป
โดยรวม คุณแม่ Happy .... คุณลูกสบายกระเป๋าครับ .. แม้ว่า new iPad จะแพงกว่ากันไม่เยอะ ...
แต่ด้วย Life Style ของคุณแม่ ก็ถือว่าเหมาะกว่าการจัด new iPad พอสมควรครับ :)
**แอบเสียดายที่ไม่ใช่ iPad2,4 ถ้าใช่ gen นั้นคงดีใจไม่น้อย ....







วันพฤหัสบดี, เมษายน 19, 2555

รีวิว : Dungeon Village



เกมส์ดองมาได้เดือนกว่า ๕๕
มาให้เสียตังกันอีกแล้วกับ Kairosoft's Dungeon Village
ถ้าใครเคยเล่น Epic Astro Story มาแ้ล้ว
เกมส์นี้ อาจเป็นอะไรที่จริงจังมากกว่าเดิมครับ

General Knowledge

Dungeon Village เป็นเำกมส์บริหารหมู่บ้านให้เป็นหมู่บ้านที่โด่งดังที่สุด
ที่เหล่าผู้กล้าทั้งหลายต่างโหยหา เพื่อจะมาผจญภัยในหมู่บ้านของเรา
โดยเรามีหน้าที่จัดสรร พื้นที่ในหมู่บ้าน รวมไปถึง training เหล่าผู้กล้า
ให้เก่งกาจพอที่จะไปพิชิตเหล่ามอนสเตอร์ ด้านหลังหมู่บ้านได้ ...


ระบบของเกมส์ ในภาคนี้ค่อนข้างเยอะมาก จึงอยากรีวิวคร่าวๆ พอเพราะยังเล่นไม่จบดีเท่าไหร่ - -''
แต่หลักๆ ก็จะค่อนข้างคล้ายกับ Epic Astro Story พอสมควร
เอาเป็นว่าจะพยายามรีวิวเท่าที่ทำได้แล้วกัน - -''

Player ( เจ้าของหมู่บ้าน )

ส่วนที่ manage หมู่บ้านหลักๆ จะมีค่าต่างๆ ดังต่อไปนี้คือ
  1. เงิน - ใช้ในการซื้อสิ่งของต่างๆ รวมไปถึงการจ้างให้ผู้กล้ามาอยู่ในเมือง
  2. Town Point - ใช้ในการจัด event ในเมือง
  3. Item - ใช้ในการเพิ่ม status ตัวละคร / สถานที่ / ปรุึงยา
  4. Medal - ใช้ในการเลื่อน class ของผู้กล้า
  5. Star - Lv ของหมู่บ้าน มีทั้งหมด 5 Level
โดยปกติแล้ว หมู่บ้านจะอยู่รอดได้ มาจาก "เงิน" เป็นหลัก
ดังนั้น Goal ที่จะต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก คือ
ทำให้หมู่บ้าน รวยส์ ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ...
ส่วนค่าอื่นๆ เป็นตัวช่วยให้หมู่บ้านเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

สิ่งก่อสร้าง


อาจเป็นเพียงช่องทางเดียวที่หมู่บ้านของเราสามารถหาเงินได้จากผู้กล้าที่มาพักในหมู่บ้าน
สิ่งก่อสร้างใน Dungeon Village ไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างเยอะๆ
เพราะเราอาจจะเสีย Maintenance Cost ฟรีๆ ดังนั้นจึงต้องระวังในการปลูกสร้างด้วย :)
Stat ที่สำคัญคือ

  1. Price - รายได้ของหมู่บ้านที่จะได้เมื่อมีการใช้บริการ
  2. Quality - มีผลต่อความพึงพอใจของผู้กล้าทำให้ Satisfactions สูงขึ้น
  3. Appeal - ความดึงดูดเหล่าผู้กล้าให้มาใช้บริการ
  4. Lv - ระดับความสามารถของสิ่งก่อสร้าง ยิ่งคนเข้าัเยอะ ค่า Level ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น

Events

เราสามารถนำ Town Point มาใช้ในการ upgrade ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น stat ของผู้กล้า
หรือแม้แต่ stat ของเมือง (ดังเช่น Popularity / Satisfactions ) 
เพื่อให้ได้ผู้กล้ามาอยู่ในหมู่บ้านเราใ้ห้เร็วที่สุด รวมไปถึง stat ต่างๆ ของผู้กล้า
มีผลต่อการต่อสู้กับ มอนส์เตอร์ ใน Field และ Quest ด้วย

Shop

ระบบ Shop จะค่อนข้างคล้ายกับ World Cruise Story นั่นคือ มีการหมุนของมาให้เราซื้อเป็นระยะๆ
โดยปกติจะมาทุก 1 Season ... และ Item ที่เป็น Facilities จะต้องใช้ Town Point ซื้อ
ซึ่งจะมีให้ซื้อทุกรอบที่เมืองเราได้อัพเกรด ดาว ขึ้นไปอีก 1 ระดับ ...

Cauldron

อย่างที่บอกไว้ตอนแรกว่า ภาคนี้รายละเอียดค่อนข้างเยอะ ...
เมื่อเราอัพเกรดหมู่บ้านไปได้ซักระยะนึง จะมี Event พิเ้ศษ เกิดขึ้นนั่นคือ การสร้าง Cauldron
ที่ใช้ในการแยกธาตุ item ให้เป็นธาตุต่างๆ เพื่อนำไป Craft เป็นอาวุธ หรือ item อื่นๆ ต่อไปได้
โดย item เหล่านั้นจะมีค่า stat สูงกว่าปกติพอสมควร ....จึงควรวางแผนในการทุบ item ทิ้งด้วยจะดีมาก

Quest 



ระบบเควสเป็นอีกระบบหนึ่งในเกมส์ RPG ที่จะต้องมีเป็นมาตรฐาน
แต่ในภาคนี้ระบบเควส จะใช้เงินในการจัด party เพื่อให้ผู้กล้าไปลุยใน quest ที่ำกำหนดได้
โดยเควส จะมี 3 ลักษณะคือ

  1. ตะลุยมอนส์เตอร์
  2. หาสมบัติ
  3. ฆ่าบอส
ระดับความยากจะขึ้นอยู่กับจำนวนเควสที่เราทำสำเร็จ และ ปริมาณดาวของหมู่บ้าน
ยิ่งหมู่บ้านดาวเยอะ มอนส์เตอร์ ก็จะยิ่งเก่งขึ้น ... 
ดังนั้นควรเตรียมตัวผู้กล้าให้พร้อมก่อนจะไปลุย ในเควสต่างๆ
เพราะในแต่ละเควสจะมีเวลาเพียง 3 เดือนในการทำเควส หากไม่จบจำเป็นจะต้องเสียเงินเพิ่ม


Characters


ขาดไม่ได้เลยสำหรับเกมส์ RPG นั่นคือ ระบบตัวละครซึ่งในภาคนี้ รายละเอียดจะเยอะมาก ...
แล้วตัวละครก็เยอะมาก พอๆ กับ Epic Astro Story ด้วยจึงไม่ขออธิบายยืดยาวครับ ....

ตัวละครแต่ละตัว จะทำได้ดังต่อไปนี้

  1. ใส่ของได้ 4 อย่าง ... อาวุธ / เกราะ / หมวก(โล่ห์) / เครื่องประดับ ...
  2. ใส่เวทย์มนต์ ได้ 4 ชนิด ... ไฟ / น้ำแข็ง / สายฟ้า / ฟื้น Hth
  3. เปลี่ยน Job ได้ โดยมี Job อยู่ 4 ระดับ คือ 0 Medal , 1 Medal , 2 Medal , 3 Medal และ 5 Medal.

รายละเอียด job แนะนำให้เล่นดูครับ ไม่อยาก สปอย ^^" (เพราะมันเยอะ)


สรุป

.. เป็นอีกภาคที่เล่นได้เรื่อยๆ แต่ขาดแรงกระตุ้นในการเล่นหลายๆรอบ ...
ถ้าเปรียบเทียบกับ Epic Astro Story ที่มี Bottomless Cave แล้ว ...
Dungeon Village จะให้อารมณ์คล้ายๆกับ Pocket League Story มากกว่า ( เล่นรอบ 3-4 ก็เบื่อแล้ว )


Bonus

  • KaiRobot Job ใช้ 5 Medal , Hero ใช้ 3 Medal.
  • อาชีพสายบู้ ที่ดีที่สุด ในระดับ 2 Medal คือ Mechanic ใช้ได้เฉพาะผู้ชาย
  • เมื่อเล่นจบ 1 รอบ stat ของ สิ่งก่อสร้าง และ อาชีพที่ Mastering แล้วจะถูก carry มาทั้งหมด
  • Event ให้พัฒนา Dex เยอะๆ จะสามารถ 1-turn-kill มอนส์เตอร์ได้สบายๆ
  • อาวุธดีที่สุด คือ Great Sword หาได้จาก เพิ่ม Satisfaction ของ King ให้เต็ม 100
  • ทุก Job สามารถใช้เวทย์มนต์ได้ ... ความแรงขึ้นอยู่กับ Sprt
  • ควรมี อาชีพพระ อยู่ในเมือง อย่างน้อย 2-3 ตัว ไว้สำหรับ heal และ ชุบชีวิต ระหว่างเควส
  • AI ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ และมีบั๊ก Lv เวลาดูแยกย่อยในแต่ละตัว